“นักวิชาการ” มจร เผย เงินวัด : เงินสงฆ์ “ไม่ใช่เงินรัฐ”

วันที่ 10 สิงหาค 2568  กรณีตำรวจขอข้อมูลวัด รวมทั้งบัญชีวัด บัญชีส่วนตัวเจ้าอาวาส และบางแห่งพร้อมทั้งให้ระบุจำนวจตู้บริจาค และถ่ายภาพพระภิกษุ -ผู้อาศัยในวัด ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่คณะสงฆ์ทั่วประเทศ อันเนื่องจากหลายภาคส่วนมองว่ามีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคล

ล่าสุด  ดร. อานนท์ เมธีวรฉัตร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้อธิบายเกี่ยวกับ เงินวัด เงินสงฆ์ ว่า มิใช่เงินรัฐ พร้อมกันเตือนระวังวุ่น

เงินที่บริจาคด้วยศรัทธาเพื่อสงฆ์อยู่ประจำวัดย่อมตกเป็นสมบัติสงฆ์ที่จะพึงใช้ได้ในฐานะเป็นสมาชิกสงฆ์ในวัดนั้นๆตามหลักพระธรรมวินัย คนจะใช้หลักการของรัฐไปกำกับการใช้เงินของวัดนั้นไม่ควร เพราะหลักการของรัฐเป็นวิธีการของคนไม่ใช่วิธีการของสงฆ์ เพราะเงินวัดไม่ใช่เงินของรัฐ แต่ถ้าเป็นของรัฐจัดสรรมาให้เป็นงบประมาณเฉพาะเรื่อง อาจใช้หลักการของรัฐไปควบคุมการใช้ได้

ในอดีตเงินวัดที่ได้จากรัฐจัดเป็นเงินอุดหนุนขาดที่รัฐนำไปถวายวัดโดยมีเจ้าอาวาสหรือผู้แทนเป็นผู้รับจะใช้หรือไม่ใช่เป็นเรื่องของวัด และสงฆ์ รัฐจะไม่ไปยุ่งเพื่อให้เงินนั้นเป็นไปตามพระธรรมวินัย และป้องกันสงฆ์จากอาบัติ นี่เป็นวิธีการภาครัฐเคยกระทำมาในอดีตไม่เหมือนปัจจุบัน ที่รัฐจัดสรรเงินให้วัดไปแล้วยังไม่ปล่อยวาง ให้สิทธิแก่สงฆ์ดำเนินการเด็ดขาดตามพระธรรมวินัย เมื่อเงินรัฐจัดให้วัดไม่เป็นสมบัติสงฆ์เต็มร้อย จึงทำให้คนไปกล่าวหาพระเป็นอาบัติ “ปาราชิก” ได้ง่ายขี้น ซึ่งวิธีการนี้นี่เองจะทำให้พระไม่สามารถรับเงินถวายจากภาครัฐอีกต่อไป

เงินวัด เป็นเงินที่ได้จากการบริจาค หรือได้มาจากการวิธีการของผู้นำสงฆ์ หรือ พิธีกรรม หรือปูชนียมงคลวัตถุของวัดจัดเป็นเงินของสงฆ์ของวัดนั้นๆ ที่สงฆ์หรือวัดสามารถนำไปใช้ได้ตามชอบแห่งสงฆ์ตามพระธรรมวินัย ไม่ควรใช้กฎหมายบ้านเมืองไปกำกับการใช้เงิน หากเงินวัดที่ได้มาโดยพิธีกรรมของวัด รัฐใช้วิธีการของรัฐไปกำกับ วัดทุกวัดทั่วประเทศอาจเข้าข่ายการยักยอกทรัพย์เพราะการใช้เงินของวัดที่เป็นเงินสงฆ์

เงินวัด เงินสงฆ์ ต้องใช้หลักพระธรรมวินัยตรวจสอบ เพราะเงินวัด เงินสงฆ์ต้องถามวัตถุประสงค์ของพระสงฆ์ที่นำไปใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของผู้ถวายหยอดตู้บริจาค เพราะตู้บริจาควัดเขียนไว้เพื่อจูงใจ “ศรัทธา” ให้ชาวบ้านทำบุญ เท่านั้น เมื่อวัดเปิดตู้แล้วนำเงินที่ชาวบ้านหยอดตู้ไปรวมแล้วบูรณาการเป็น “เงินวัด เงินสงฆ์” แล้วนำไปบริหารจัดการวัดเป็นส่วนๆ จำเป็นมากจำเป็นน้อย

ณ วันนี้คนกำลังหลงทางธรรม ที่นำทางคนไปใช้กับสงฆ์ และสงฆ์กำลังจะหลงกลทางคน ที่นำวิธีการของคนไปใช้กับสงฆ์ จนทำให้วัดวุ่นวาย ห่างไกล พระนิพพาน เข้าทุกที ทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา วิกฤตปัญญา ทำให้ชาวบ้านไม่ไว้ใจวัด ไว้ใจสงฆ์ ทำให้คนสงสัยในทานที่ถวายสงฆ์ตั้งแต่ ก่อนถวาย (บุพพเจตนา) กำลังถวาย (มุญจนเจตนา) หลังถวาย (อปราปรเจตนา)

หากผู้บริหารสงฆ์ องค์การปกครองสูงสุด นิ่งเฉย สุดท้ายวัดในไทยจะไม่ต่างอะไรกับ มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย….เพราะพระสงฆ์ไม่เป็นไปตามหลักพุทธพจน์ที่ว่า”สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี”….จะรักสามัคคีกันแต่วันมี ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เมื่อถึงวันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสุข เสื่อมสรรเสริญ พากันตัวใครตัวท่าน ดังนี้แล

วันนี้พระสงฆ์ถูกรุกรานบัญชีเงินในธนาคารพากันตรวจสอบ ทำให้พระวุ่นวายกระเจิดกระเจิง ในไม่ช้า กรรมการมหาเถรสมาคม ต้องทำเป็นแบบอย่างให้พระผู้น้อยได้เห็นว่า “เงินในบัญชีที่ท่านมีอยู่ ท่านได้แต่ใดมา” จะพากันวุ่นวายไปใหญ่

Leave a Reply