ทนายอนันต์ชัยถาม!! ยุทธการ “กวาดลานวัด” หรือ ยุทธการ “ล้วงย่ามพระ”

วันที่ 13 สิงหาคม 2568  ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ซึ่งมีปณิธาน “ธำรง ไม่ทำลาย พระพุทธศาสนา” ได้โพสต์เฟชบุ๊ค ถึงยุทธการกวาดลานวัด หรือ ยุทธการล้วงย่ามพระ โดยมีความละเอียดว่า

มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้รับการร้องเรียนจากพระทั่วประเทศว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ตำรวจได้ระดมเข้าตรวจวัดต่าง ๆ ถ่ายรูปพระภิกษุสามเณร ตรวจปัสสาวะ กิริยาคุกคามไม่ให้เกียรติ ขอตรวจปัสสาวะ พูดจาข่มขู่ขอให้แจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารทั้งของวัดและบัญชีส่วนตัวของพระภิกษุสามเณร ขอเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ใบสุทธิสงฆ์ และอื่น ๆ โดยให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคลลงในเอกสาร รวมถึงบุกรุกเข้าไปค้นภายในกุฏิโดยไม่มีหมายค้น และมิใช่กรณีที่จะค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 69 และมาตรา 92 แต่ใช้วิธีการที่ทำให้พระภิกษุสามเณรต้องจำยอมให้ตรวจค้น และให้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยอ้างมติมหาเถรสมาคมที่ 620/2568ฯ, สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 222/2578 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติขอความร่วมมือและขอรับทราบข้อมูลในด้านต่างๆ ของวัด หรือหนังสือขอความร่วมมือของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฯ ที่ขอให้ทุกวัดเปิดเผยข้อมูลและส่งแบบรายงานบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่ายของวัด และยอดเงินคงเหลือของวัด ต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด แล้วแต่กรณีตามรอบการรายงาน ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 โดยเคร่งครัดทุกวัด ส่วนบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการตรวจสอบได้เฉพาะในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม ยกเว้นกรณีที่มีการกระทำความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจตามกฎหมายย่อมมีอำนาจตรวจสอบหรืออายัดบัญชี หากได้ดำเนินการโดยชอบตามกระบวนการทางกฎหมายแล้ว

พระภิกษุสามเณร ก็ต้องยอมเพราะกลัวและไม่รู้กฎหมาย !!!
อย่างไรก็ตามปรากฏตามข้อที่ร้องเรียนมายังมูลนิธิฯว่า ตำรวจในท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ(บางแห่ง) ปฏิบัติกับวัด พระภิกษุ และสามเณรอย่างไม่เหมาะสม เสมือนพระภิกษุสามเณรเป็นอาชญากร

มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ขอเรียนว่า พระภิกษุสามเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกรูปมิได้กลัวการตรวจสอบ แต่ที่ท่านเรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่าเป็น ยุทธการกวาดลานวัด ซึ่งน่าจะหมายถึงการจัดระเบียบเงินของวัดเสียใหม่เพราะมีพระบางรูปที่กระทำมิชอบตามที่เป็นข่าวนั้นก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ระวังจะเป็น ยุทธการล้วงย่ามพระ นรกจะกินกบาลเอานะครับ !

การกวาดลานวัด ใบไม้ใบหญ้าที่แห้งเสียทำให้วัดสะอาดนั้น เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ถึงขนาด ล้วงเข้าไปในย่ามพระ ที่เป็นของส่วนบุคคลซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะที่กฎหมายคุ้มครองปัจเจกบุคคลไว้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดหรือละเมิดต่อกฎหมายเสียเอง และพฤติกรรมที่จาบจ้วงล่วงเกินพระภิกษุสามเณรน่าจะเป็นบาปมากกว่าบุญ ตำรวจอย่าทำกับพระสงฆ์องค์เณรขนาดนั้นเลยนะครับ ถ้าตำรวจและฝ่ายปกครองทำกับคณะสงฆ์พระภิกษุสามเณรขนาดนั้น พระท่านจะประท้วง เดี๋ยวตำรวจจะเดือดร้อนเอานะครับ !

มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ขอชี้แจงข้อกฏหมายว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุ สามเณร ที่ตำรวจเอาไปนั้น เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ฯ หากพระภิกษุ สามเณร ท่านไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย อย่าข่มขู่บังคับ ตำรวจจะโดนข้อหาเสียเองนะครับ ความผิดฐานบุกรุก ข่มขู่คุกคาม และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำตำรวจติดคุกมาเยอะแล้วครับ
มติ หรือ คำสั่งจากฝ่ายตำรวจ หรือคำสั่งฝ่ายปกครอง ไม่ใหญ่ไปกว่า พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562ฯ และประมวลกฎหมายอาญา หรอกครับ จะบอกให้ !
มูลนิธิทนายกองทัพธรรม อยากถามว่า #ปฏิบัติการกวาดลานวัด ของตำรวจนั้น
1.ป้องกัน หรือ ทำลาย
2.ปรับปรุง หรือ ปราบปราม
3.มั่นคง หรือ สั่นคลอน
4.ส่งเสริม หรือ ซ้ำเติม
5.พยุง หรือ ผลักไส ?

ช่วยตอบหน่อยครับอยากรู้จริงๆ หน่วยงานตำรวจสะอาดแล้วหรือจึงมาจัดการกับวัด พระภิกษุและสามเณร ?

ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ  แต่การทำในลักษณะกวาดล้างกับองค์กรพุทธศาสนาเช่นนี้ ชาวพุทธเค้าเสียกำลังใจ ที่สำคัญ “พระภิกษุสามเณรที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซึ่งมิได้เกี่ยวข้องใด ๆ พลอยได้รับผลกระทบและถูกเหมารวมไปด้วย” พระพุทธองค์ตรัสเป็นธรรมะสัจจ์ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง” การกระทำทุกอย่างต้อง“พอเหมาะ พอควร” อย่าน้อยและอย่ามากไป ทุกสังคมย่อมมีคนดีคนไม่ดี หากเปรียบพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ก็ย่อมมีใบเสีย กิ่งแห้งพร้อมหักบ้างล่ะครับ การตัดเลาะกิ่งเสีย เด็ดใบแห้งทิ้งแล้วปัดกวาดให้สะอาด สามารถทำได้ แต่อย่าลามถึงขนาดโค่นต้นพระศรีมหาโพธิ์เลยครับ เพราะชาวพุทธคงไม่ยอม!!

Leave a Reply