พระมีไว้..ทำไม??

วันที่ 6 กันยายน  2568 เฟชบุ๊ค PM-Narin Narinto ซึ่งเป็นเฟชส่วนตัวของ พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ.9 เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ได้ตอบประเด็นสาธารณะเกี่ยวกับการตั้งคำถามของพุทธศาสนิกชนยุคใหม่ว่า  “พระมีไว้ทำไม”  มีรายละเอียดดังนี้  จาก..น้ำผึ้งหยดเดียว จะกลายเป็น..น้ำป่าไหลหลาก ถ้าหากตอบคำถามไม่ตรง

“พระมีไว้ทำไม” เริ่มจะเป็นคำถามในสังคมไทย ที่เริ่มจะห่างวัดไปเรื่อยๆ เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการค้นหาธรรมะในพระพุทธศาสนา คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการทรงจำได้แม่นยำกว่าพระภิกษุสามเณร หรือแม้แต่พระภิกษุสามเณรก็ยังต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยอีกด้วย ภาพที่ปรากฏเช่นนี้ ย่อมจะบ่งชี้ว่า การจะอาศัยพระภิกษุสามเณรช่วยในการสอนธรรม ก็เริ่มจะเจือจางลง ยิ่งพระสงฆ์ล้าหลังในด้านการศึกษาที่ทันโลก ก็ยิ่งจะพูดคุยกับคนรุ่นใหม่ได้ยากขึ้นอีก การสื่อสารก็เริ่มจะสวนทางกัน พูดไปเหมือนผิดหู คุณูปการของพระพุทธศาสนาในยุคโบราณกลายเป็นสิ่งของโบราณในพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรุ่นใหม่ ป่วยการจะรื้อฟื้นให้ฟัง เพราะในเมื่อปัจจุบันคนเห็นประโยชน์น้อย ยิ่งพูดบ่อยก็มีแต่เสียกับเสียพุทธยุคใหม่จึงท้าทายต่อโลกยิ่งนัก ปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังคงมุ่งหน้าศึกษาและปฏิบัติศาสนกิจในรูปแบบของ “การอนุรักษ์” อาจจะได้ผลดีในส่วนหนึ่ง แต่อีกหลายส่วนก็ล้วนแต่ผจญความท้าทายต่อคำถามของคนรุ่นใหม่ จนสุดท้ายก็กล้าถามว่า “พระมีไว้ทำไม”

พระมีไว้ทำไม ? เป็นอะไรที่ครอบคลุมถึงสถานภาพของพระภิกษุรวมทั้งสามเณร คำว่าพระในที่นี้ย่อมจะหมายถึง “พระสงฆ์” ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา ในฐานะสถาบันหลักของประเทศไทย ในความหมายว่า พระพุทธศาสนายังจำเป็นสำหรับประเทศไทยต่อไปอีกหรือไม่ ชาวไทยยังจะยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาอันมีพระสงฆ์เป็นผู้นำ ให้เป็นสถาบันหลักของชาติต่อไปอีกหรือไม่

ถ้าว่ายังต้องการ ก็อาจจะมีคำถามว่า ต้องการพระสงฆ์ในรูปแบบไหน อย่างไร อาจจะหมายถึงรูปแบบการปกครองสงฆ์ รวมทั้งแนวทางคำสอน ซึ่งสังคมไทยอาจจะใช้วิกฤตในวงการสงฆ์เข้ามาควบคุมกิจการพระพุทธศาสนา ผ่านนักการเมืองหรือกฎหมายอาญา นั่นแสดงว่า พื้นที่ของพระสงฆ์ที่เคยเดินได้สะดวกนั้น ถูกตีกรอบให้หดเข้าไปเรื่อยๆ จนหลายรูปหลายองค์จะรู้สึกอึดอัดและทนอยู่ไม่ได้ จำใจต้องลาสิกขาออกไป หรือไม่ก็ คนที่คิดจะบวช แต่เมื่อทราบถึงสภาวะอันไม่เอื้ออำนวยในการบวชตามประเพณี ก็อาจจะเปลี่ยนใจไม่บวช

และอีกด้าน ในเนื้อแท้แล้ว ชาวพุทธยุคใหม่ก็ไม่ได้คาดหวังพระพุทธศาสนาหรือพระสงฆ์ในแนวทางการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสียทีเดียว แต่กลับต้องการพระสงฆ์ที่ตอบโจทย์แก่สังคมสมัยใหม่ได้ โดยไม่จำกัดรูปแบบ ขอเพียงให้โดนใจก็พร้อมจะเทใจให้แก่พระสงฆ์รูปนั้นๆ โดยไม่ได้สนใจในองค์กรของสงฆ์เลย ไม่ว่าจะเป็นวัด หรือเจ้าคณะพระสังฆาธิการต่างๆ ไปจนถึงมหาเถรสมาคม จะไม่อยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่ที่อยากได้พระสงฆ์ที่ตรงกับใจของตน

สิ่งที่นำมาอ้างอิงก็คือ ถึงเราจะเห็นคำเรียกร้องให้ปฏิรูปหรือปฏิวัติวงการสงฆ์อย่างหนาหู แต่ดูไปก็ยังไม่เห็นคนรุ่นใหม่คนไหนที่เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ประกาศอุทิศชีวิตตนเองเพื่อพระพุทธศาสนา ยอมถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา อาสาเข้ามานุ่งเหลืองห่มเหลืองยึดถือแนวทางการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามวิถีพุทธในสมัยพุทธกาล

กลับกัน คนรุ่นใหม่กลับนิยมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้แค่ปลายนิ้วสัมผัส พระต้องมีความรู้ในด้านนี้หรือใช้่เทคโนโลยีเป็น ที่สำคัญก็คือ ต้องสามารถประดิษฐ์วาทกรรมที่โดนใจไม่ติดขัด ก็จะได้รับความนิยมเป็นพระซูเปอร์สตาร์

แน่นอนว่า ถ้านำเอาความต้องการพระสงฆ์ของคนรุ่นใหม่ไปเปรียบเทียบกับแนวทางพุทธเถรวาทดั้งเดิม อันเป็นแนวจารีตอนุรักษ์นิยมแล้ว ก็ย่อมจะขัดกันสุดขั้ว การที่พระสงฆ์ไทยจะยืนหยัดอยู่ในรูปแบบเดิม ก็จะไม่ตอบโจทย์สังคมยุคใหม่ แต่ถ้ารีบเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อคนรุ่นใหม่ ก็จะพากันละทิ้งแนวทางเก่าๆ สุดท้ายก็จะไม่ใช่เถรวาทอีกต่อไป

นี่ไงคือวิถีที่สวนกระแสของพระสงฆ์และคนรุ่นใหม่ กลายเป็นโจทย์ยากให้ต้องขบคิดทบทวนอย่างจริงจัง กับคำถามว่า..พระมีไว้ทำไม

Leave a Reply