วันที่ 4 ตุลาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา หรือ “ดร.มหานิยม” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นต่อข้อเสนอปฏิรูปพระพุทธศาสนาของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยแสดงความคิดเห็นผ่านสาธารณะชน ก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า
ดร.บวรศักดิ์เสนอแนวทางปฏิรูป เช่น การคัดกรองผู้บวชโดยแยกบวชชั่วคราว–ถาวร กำหนดให้ผู้บวชใหม่ผ่านขั้นตอน “ผ้าขาวถือศีล 8” ก่อนบรรพชา 1 ปี และบังคับให้พระยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. พร้อมตั้งสำนักงานปราบปรามการประพฤติมิชอบในพระศาสนา และเปิดให้ สตง. ตรวจสอบบัญชีวัดได้
อย่างไรก็ตาม ดร.มหานิยมเห็นว่า แนวคิดดังกล่าว “ไม่เข้าใจวิถีชีวิตพระสงฆ์” และสุ่มเสี่ยงจะสร้างแรงต้านรุนแรงจากคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า
“การให้พระแสดงบัญชีทรัพย์สินเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐ ถือว่าไม่สอดคล้องกับความจริง เพราะรายได้ของพระคือเงินบริจาคจากศรัทธา ไม่ใช่งบประมาณหลวง แค่คิดก็ดูแปลกแล้ว”
เขาย้ำว่าความเร่งด่วนที่แท้จริงคือการแก้วิกฤตศรัทธาในพระศาสนา ไม่ใช่การตั้ง “กำแพงกีดกัน” ผู้ประสงค์บวช โดยชี้ว่าพระเถระผู้ยิ่งใหญ่หลายรูปในอดีต รวมถึงพระอรหันต์ในพุทธกาล และแม้แต่พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ต่างก็เริ่มบวชด้วยเหตุผลเพียงชั่วคราว แต่กลับอยู่ในสมณเพศจนตลอดชีวิต
ดร.มหานิยมยังเตือนว่า การนำปัญหาของพระผู้ใหญ่ไม่กี่รูปมาเป็นบรรทัดฐานปฏิรูปทั้งระบบ อาจบั่นทอนพระพุทธศาสนา มากกว่าจะช่วยส่งเสริม พร้อมทิ้งท้ายว่า
“ขอให้ท่านรองนายกฯ กลับไปอ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 67 ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการคุ้มครองพระพุทธศาสนา การปฏิรูปต้องอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจ ไม่ใช่การเซาะกร่อนศาสนา”
สำหรับข้อคิดของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี โดยโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาวิกฤติคณะสงฆ์ ก่อนรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยมีความว่า ขอเสนอแนวคิดในการปกป้องพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาดังนี้
ผมเป็นพุทธศาสนิกที่ยึดพระพุทธองค์เป็นสรณะสูงสุด รวมทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์ตลอดจนพระสมมุติสงฆ์ผู้ทรงศีลาธิคุณอันบริสุทธิ์ อันประกอบกันเป็นไตรรัตนะ และตั้งสัจจะอธิษฐานทุกวันคืนว่าจะยึดไตรรัตนะไปทุกภพชาติ เรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ของพระบางรูปไม่ได้ทำให้ผมเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาที่เป็นสถาบันยืนยาวมาเกือบสามสหัสวรรษ
เราคงไม่รังเกียจประชาธิปไตยเพราะมีคนคุ้มดีคุ้มร้ายเป็นประธานธิปบดีก็ฉันใด เราคงไม่เสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพราะภิกษุอลัชชีบางคน ฉันนั้น
พระภิกษุที่เป็นสุปฏิปัณโณยังมีอีกมาก แต่ท่านไม่แสดงตัว และเราไม่รู้จัก ผู้มีสติ และปัญญาจึงพึงตรึกตรองให้ดี
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องหันมาคิดป้องกันอลัชชีที่อาศัยผ้าเหลืองดำรงชีพให้พ้นไปจากพระศาสนา ผมจึงมีข้อคิดให้คิดร่วมกันในฐานะหนึ่งในพุทธบริษัทดังนี้
1. เมื่อพุทธบริษัท พระศาสนา และ อาณาจักรเป็นไตรสดมภ์ของสังคม จึงต้องร่วมมือกันในการ“ตรวจสอบ”การประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ และสามเณรที่ประพฤติผิดวิสัยสมณะ โดยเฉพาะที่ผิดพระวินัยร้ายแรง หรือประพฤติผิดเป็นอาจิณ โดยมี“สำนักงานป้องกันและปราบปราบการประพฤติมิชอบในพระศาสนา“ขึ้นตรงต่อสมเด็จพระสังฆราช มีหน้าที่สอดส่อง รับข้อร้องเรียนจากพุทธบริษัท และสืบสวนสอบสวนการประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย และการทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงถึงปาราชิกหรือสังฆาทิเสส ถ้าผิดกฎหมายก็ส่งให้ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายนั้นๆดำเนินการต่อ ถ้าผิดวินัยสงฆ์ก็ให้สงฆ์ดำเนิการ
2. การบวชต้องแยกเป็น (1) บวชตามประเพณีไม่เกิน 1 พรรษา ให้เป็นไปตามประเพณีเหมือนเดิม และ (2) การบวชและดำรงสมณเพศตั้งแต่1 ปีขึ้นไปต้องมีขั้นตอน กระบวนการกลั่นกรองเข้มข้น โดยผู้บวชต้องแสดงเจตนาให้ชัดเจนก่อนบวช การบวชเกิน1ปี อาจต้องกลับมาอนุโลมครุกรรมก่อนบวชมาใช้ เช่นต้องเป็นผ้าขาวถือศีลแปดก่อน1ปีในวัด และมีการสังเกตพฤติกรรมระหว่างนั้น ถ้าไม่สนใจร่ำเรียน ละเลยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ให้บวชเป็นต้น ความจริง บางสำนักที่มีครูอาจารย์ที่เคร่งครัดท่านก็ทำเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องนำมาใช้เป็นการทั่วไป
3. ตำแหน่งปกครองสงฆ์ยังต้องมีอยู่แต่ต้องบัญญัติในกฎหมายให้ เจ้าอาวาส และพระภิกษุทุกตำแหน่งปกครองเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน หนี้สินต่อ ปปช และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในพระศาสนา
4. ในการบริจาคเงินต้องมีใบแสดงเจตนาผู้บริจาคว่า บริจาคให้วัด หรือให้พระภิกษุเป็นส่วนตัว และต้องแยกบัญชีวัดออกจากบัญชีส่วนตัวพระ เฉพาะการบริจาคให้วัดจึงจะออกใบอนุโมทนา และนำไปลดหย่อนภาษีได้ ห้ามออกใบอนุโมทนาการบริจาคให้พระเป็นส่วนตัว
5.ให้มีการตรวจสอบและรับรองบัญชีวัดโดย สตง. หรือผู้สอบบัญชีที่สตงมอบหมายโดยใช้ค่าสอบบัญชีจากเงินวัด และประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาที่คิดที่เสนอมานี้มีรายละเอียดอีกมาก และอาจต้องแก้กฎหมายหลายฉบับ ไม่ใช่แค่พรบ.คณะสงฆ์ 2505
พระศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่พุทธบริษัท 4 เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว พุทธบริษัท องค์กรในพระศาสนา และอาณาจักร อันเป็นไตรสดมภ์ต้องช่วยกันคนละไม้ คนละมือ คำเก่าที่ว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างเถร” ใช้ไม่ได้นะครับ
ถ้าถือตามนั้น ให้พระจัดการกันเอง พระศาสนาจะวิกฤตแน่นอน เร่งช่วยกันคิด เร่งช่วยกันทำเถิดครับ เพื่อพระศาสนาจะได้บริสุทธิ์ และเป็นหลักทางจิตวิญญาณของสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปตราบนานเท่านาน..

Leave a Reply