วันที่ 8 ตุลาคม 2568 นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ อธิบายคำว่ากฐิน ความพิเศษของกฐินทาน และรูปแบบการทอดกฐินในปัจจุบัน ดังนี้ “กฐิน”
๑. คำสำคัญที่ควรรู้
• “กฐิน” : เป็นคำนาม หมายถึง ผ้าพิเศษที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุสงฆ์เฉพาะกฐินกาล ซึ่งว่าตามศัพท์แล้ว “กฐิน” แปลว่า ไม้สะดึง คือ กรอบไม้สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวร
• “กฐินกาล” : ระยะเวลาตั้งแต่แรมค่ำหนึ่ง เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ระยะเวลานี้ เรียกเป็นสามัญว่า เทศกาลกฐิน ฤดูกฐิน หรือ หน้ากฐิน ก็เรียก
• “กรานกฐิน” : พิธีกรรมของพระภิกษุสงฆ์โดยตรง
• “ผู้กรานกฐิน, ผู้ครองกฐิน หรือ องค์ครองกฐิน“ : พระภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินจากสงฆ์โดยวิธีที่กําหนดไว้ในพระวินัย
• “ทอดกฐิน” : พิธีกรรมของคฤหัสถ์เพื่อสนับสนุนให้สงฆ์กรานกฐินได้สะดวก
๒. ความพิเศษของกฐินทาน
• จำกัดประเภททาน หมายควทมว่า ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานประเภทอื่นไม่ได้
• จำกัดเวลา หมายความว่า ต้องถวายภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนตามพระบรมพุทธาอนุญาต คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่ง เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒
• จำกัดผู้รับ หมายความว่า ภิกษุผู้รับกฐินต้องเป็นผู้อยู่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส โดยไม่ขาดพรรษา
• จำกัดคราว หมายความว่า วัดหนึ่งวัดจะรับกฐินได้ เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น
• กฐินทาน เป็นพระบรมพุทธานุญาตโดยตรง ส่วนทานอย่างอื่นจะทรงอนุญาตก็ต่อเมื่อมีทายกมาทูลขอ เช่น การถวายผ้าอาบน้ำฝน เป็นต้น
๓. อานิสงส์ของพระภิกษุผู้ได้กรานกฐินและผู้อนุโมทนากฐิน ตามพระวินัย ๕ ประการ คือ
๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา
๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันอาหารคณโภชน์ได้
๔. เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดในวัดนั้น เป็นของผู้อยู่จำพรรษา ครบถ้วนไตรมาส โดยได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปอีก จนถึงกลางเดือน ๔
๔. จุลกฐิน, มหากฐิน :
๑. จุลกฐิน เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันทำให้แล้วเสร็จภายในกำหนดวันหนึ่ง นับตั้งแต่การเก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย กรอ ทอ ตัด เย็บ ย้อม ทำให้เป็นขันฑ์ ได้ขนาดตามวินัย แล้วทอดถวายให้แล้วเสร็จในวันนั้น
๒. มหากฐิน เป็นการจัดหาผ้ามาเป็นองค์กฐิน พร้อมทั้งเครื่องไทยธรรม บริวารเครื่องกฐินจำนวนมาก ไม่ต้องทำโดยรีบด่วน เพื่อจะได้มีส่วนหาทุนในการบำรุงวัด เช่น การบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานภายในวัด
๕. การทอดกฐินในปัจจุบัน :
๑. พระกฐินหลวง เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะและเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระราชินี พระราชโอรส พระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ รวมทั้งพระกฐินที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ราชสกุล องคมนตรี หรือผู้ที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควรให้เสด็จฯ แทนพระองค์ นำไปถวายยังพระอารามหลวงสำคัญ ๑๖ พระอาราม ที่สงวนไว้ไม่ให้มีการขอพระราชทาน
๒. พระกฐินพระราชทาน คือ พระกฐินที่ถือว่า ผ้าพระกฐิน บริขาร และบริวารกฐิน เป็นของหลวง แต่เปิดโอกาสให้ส่วนราชการ องค์กร หรือบุคคลที่สมควร ขอรับพระราชทานอัญเชิญไปถวายยังพระอารามหลวงต่างๆ นอกจากพระอารามหลวงสำคัญ ๑๖ พระอารามดังกล่าว รัฐบาลโดยกรมการศาสนาจัดหาผ้าพระกฐิน และบริวารพระกฐิน (ปัจจุบันมีจำนวน ๒๖๕ พระอาราม มีรายชื่อตามบัญชีพระอารามหลวง) ซึ่งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สมาคม บริษัทห้างร้าน และบุคคลทั่วไป จะต้องยื่นความจำนงขอพระราชทานผ่านไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และเมื่อถึงกำหนดกฐินกาลก็ติดต่อขอรับ ผ้าพระกฐินและบริวารพระกฐินจาก กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา เพื่อนำไปทอด ณ พระอารามที่ขอรับพระราชทานไว้ เมื่อทอดถวายเรียบร้อยแล้วผู้ขอรับพระราชทานจะต้องจัดทำบัญชีรายงานถวายพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ส่งไปยัง กรมการศาสนา เพื่อจะได้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐิน ส่งไปยัง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูล พระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายพระราชกุศลในการที่หน่วยงาน องค์กร หรือบุคคลทั่วไป อัญเชิญผ้าพระกฐินไปถวาย ณ อารามนั้น
๓. กฐินทั่วไป หรือที่เรียกว่า “กฐินราษฎร์” เป็นการถวายผ้ากฐินที่พุทธศาสนิกชนทั่วไป มีความประสงค์จะนำไปถวายแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดใดวัดหนึ่งที่เป็นวัดราษฎร์ (ไม่ใช่พระอารามหลวง) ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์จะทำบุญทอดกฐิน ณ วัดใดวัดหนึ่ง (ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินแด่พระสงฆ์ ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ในวัดราษฎร์ เรียกว่า “พระกฐินต้น”)

Leave a Reply