วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568  เวลา 09.30 น. ณ แปลงนาโคกหนองนาบ้านคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี  นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เยี่ยมให้กำลังใจและร่วมถอดบทเรียนการดำเนินการแปลงโคก หนอง นา ของ นายอดุลย์ วิเชียรชัย   โดยมี นางรัชตา แย้มพุทธคุณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน พ.อ.อ.ทรงพล ฉายแสง ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานและสนับสนุนการบริหารงานพัฒนาชุมชน และ ปลัดอำเภอคลองหลวง นางนันทนา อุ่นหนาฝาคั่ง พัฒนาการอำเภอคลองหลวง พร้อมด้วย นายมานะ ห่อผล ประธานเครือข่ายโคกหนองนาจังหวัดปทุมธานี นายสุนทร แววมะบุตร ประธานเครือข่ายโคกหนองนาอำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเครือข่ายโคกหนองนาจังหวัดปทุมธานีเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เดินทางมาร่วมให้กำลังใจคุณอดุลย์ วิเชียรชัย พร้อมกับเอามือสามัคคี ซึ่งตนเองหลังจากเกษียณอายุราชการไปก็ยังมุ่งมั่นที่จะสนองคุณแผ่นดินต่อไป โดยเฉพาะคำว่าที่ว่าแม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ก็ยังมุ่งที่จะทำดีเพื่อสังคมต่อไป ตอนนี้ที่บ้านเกิดคือจังหวัดตราด ก็ทำเรื่องหอศิลป์ ทำเรื่องดนตรีไทยให้เด็ก ๆ  อีกเรื่องหนึ่งที่ยังทำอยู่คือ การปลูกต้นไม้ ทำโคกหนองนา โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 15 -17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เดินทางไปดูแปลงโคก หนอง นา จังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งก็ดีใจและภุมิใจที่เห็นผลสำเร็จของการดำเนินโคกหนองนาของประชาชนที่ไปเยี่ยมชม

“สำหรับแปลงโคกหนองนาของน้องอดุลย์ ดีใจกับน้องด้วยที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งการทำเศรษฐกิจพอเพียง มันต้องตั้งเป้าหมายให้ชัด ยิ่งการจะเป็นศูนย์เรียนรู้มันต้องชัดโดยเฉพาะทฤษฎีบันได 9 ขั้น ขั้นพื้นฐาน 4 พอ คือ พออยู่ พอกิน พอใช้ และพอร่มเย็น เมื่อคนมาเรียนรู้ในศูนย์เรียนรู้ คนมาเรียนเขาจะรู้ว่าเราทำได้พอจริงหรือไม่ หากไม่พร้อมก็ต้องทำให้พร้อม โดยเฉพาะแปลงโคกหนองนาของน้องอดุลย์ ต้องดึงนักเรียนซึ่งอยู่รั้วติดกันให้เข้ามาเรียนรู้ให้มาก ๆ..”

สำหรับกิจกรรมเอามื้อสามัคคีในครั้งนี้ ประกอบด้วย การห่มฝางบริเวณคลองไส้ไก่ การปลูกผัก และการทำแซนวิชปลา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยในการจัดการทรัพยากรและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยก่อนกลับนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมถอดบทเรียนกับเครือข่ายโคกหนองนา เพื่อปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้สามารถเป็นศูนย์เรียนรู้ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งให้คำแนะนำเรื่องการบูรณาการกับภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี เพื่อขยายผลการพัฒนาพื้นที่ไปยังชุมชนรอบข้าง และสำหรับผู้ที่มาศึกษาดูงานในพื้นที่ เช่น การมอบพันธุ์ไม้หรือต้นกล้า เพื่อนำไปขยายผลต่อยอดต่อไป