วานนี้ได้รับคำชวนจาก “เจ้าคุณสุรศักดิ์” พระสิทธิวัชรบัณฑิต รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร ให้ไปร่วมสังเกตการณ์ การเสด็จมาเรียนหนังสือของ สมเด็จพระไวโรจนะ รินโปเช หรือ “องค์ชายลามะน้อย” วัย 13 ชันษา แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ภูฎาน
“ผู้เขียน” สังเกตระยะหลัง ๆ มานี้ ราชวงศ์ไทยและภูฎาน รวมทั้งคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์ภูฎาน มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น มีการไปมาหาหาสู่กันถี่ยิ่งขึ้น

คณะสงฆ์ไทยจะเป็นสาย “เถรวาท” ขณะที่ภูฎาน เป็น “วัชรญาณ” แต่เมื่อราชวงศ์ 2 ราชวงศ์ มีความใกล้ชิดกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 นิกาย จึงมีความแนบแน่นมากกันยิ่งขึ้นตามไปด้วย
“ผู้เขียน” เมื่อไปถึง “มจร” มีเจ้าหน้าที่สถานทูต เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง แห่งภูฎาน รวมทั้งผู้บริหาร มจร เตรียมพร้อมกันหมดแล้ว
“ผู้เขียน” ในฐานะศิษย์เก่า มจร แอบภูมิใจและดีใจทุกครั้ง เมื่อเห็นภาพความ “อลังการ” และ “ความสำเร็จ” ของ มจร สถาบันที่สถาปนาโดยองค์รัชกาลที่ 5 แห่งนี้
แต่ “ทุกอย่าง” มันมีต้นทุนต้องจ่าย นั่นก็คือ ความ “เหน็ดเหนื่อย” และ “ความทุ่มเท” ของผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ที่ร่วมกันทำงาน

“ผู้เขียน” เข้าไปกราบ “พระพรหมวัชรธีราจารย์” อธิการบดี มจร คำแรกที่ท่านถามคือ “จบปริญญาเอกแล้ว ใช่เปล่า ยินดีด้วยนะ”
“ผู้เขียน” ถามท่านต่อว่า วันนี้เจ้าคุณอาจารย์ สอนอะไรกับองค์ชายลามะน้อย เพราะเห็นหัวข้อว่าด้วย เรื่อง “พระพุทธศาสนาเถรวาท” ท่านตอบว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พระไตรปิฏก มี พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ และย่อยลงไปบนฐานของพระไตรปิฏก..
“ผู้เขียน” ขอสารภาพว่า เวลาเจอ “อธิการบดี มจร ” ด้วยความที่ท่านเป็น “เสือยิ้มยาก” เป็นพระนักวิชาการระดับ “ศาสตราจารย์” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของประเทศไทยที่ได้รับโปรดเกล้า ฯ ทั้งเป็นพระปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ “ตรงไปตรงมา” ดังไม้บรรทัด
“ผู้เขียน” รู้สึก “ประหม่า” เนื่องจากที่ผ่านมา “ผู้เขียน” ฟาดไปหลายเรื่องใน “มจร” ซึ่งส่วนตัวไม่มีอะไรกับ “พระพรหมวัชรธีราจารย์” เพราะรับรู้อยู่แล้วว่า ท่านเป็นพระสายวิชาการ และเป็นคน “ตรงไปตรงมา”
แต่เหตุผลที่เข้าไปกราบและเข้าไปคุยเนื่องจาก “ผอ.วิทยาลัยพระธรรทูต” บอกว่า ช่วยไปเป็นเพื่อนคุยกับท่านอธิการบดีหน่อย เพราะท่านนั่งอยู่รูปเดียว!!

เมื่อถึงเวลา “องค์ชายลามะน้อย” เสด็จมาถึง “อธิการบดี” ถวายการต้อนรับอยู่ในห้องรับรอง ทักทายกล่าวต้อนรับพอสมควรก็เชิญไป “ห้องเรียน”
ภายในห้องเรียนนอกจาก “องค์ลามะน้อย” แล้ว มีพระติดตามมาด้วย 15 รูป พร้อมกับ “เสด็จแม่” ของพระองค์ ส่วนสตรีสูงวัยอีกคน ดร.สุรพล สุยะพรหม บอกว่า เป็น เสด็จแม่ของกษัตริย์จิกมี แห่งภูฎาน
“พระพรหมวัชรธีราจารย์” ด้วยความที่ท่านเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว จึงบรรยายเรื่อง พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีแผ่นชาร์จประกอบการบรรยาย

“ผู้เขียน” สังเกตกิริยาของ “องค์ชายลามะน้อย” มีความอ่อนน้อมให้ความเคารพองค์อธิการบดีผู้เป็นพระอาจารย์เป็นอย่างมาก ช่วงแรกท่านพนมมือรับฟังตลอดจน “อธิการบดี” บอกให้เอามือลง และท่านก็ตั้งใจฟังบรรยายโดยจดคำบรรยาย ด้วยปากกาที่ “เจ้าคุณสุรศักดิ์” ถวายให้เป็นของที่ระลึกตลอด
หลังจบบรรยาย “องค์ชายลามะน้อย” ถวายสักการะ “พระพรหมวัชรธีราจารย์” พร้อมกล่าวว่า “จะนำสิ่งที่เรียนวันนี้นำไปใช้ประโยชน์ทั้งตนเองและเพื่อประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป” พร้อมน้อมตัวกราบ “พระอาจารย์” ลงที่พื้นเพื่อฝากตัวเป็น..ลูกศิษย์

ภาพอัน “ประวัติศาสตร์” นี้ มิได้ส่งผลให้ “มจร” ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยมี “ภาพลักษณ์” ที่ดีเท่านั่น ยังส่งผลให้ “คณะสงฆ์ไทย – ประเทศไทย” มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วย
หลังจากนั้นมีกำหนดการไปปลูกต้น “พระศรีมหาโพธิ์” หน้าอาคาร มกว. 48 พรรษา ขณะที่เดินลงมาด้านล่างผู้เขียนสอบถาม “ดร.สุรพล สุยะพรหม” รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป ซึ่งเป็นอาจารย์ของผู้เขียนตั้งแต่เรียนปริญญาตรีว่า องค์ชายลามะน้อย เกี่ยวข้องกับกษัตริย์จิกมี อย่างไร ทำไมจึงบวชเป็น ลามะน้อย และ อาจารย์สุรพล สุยะพรหม เพิ่งเดินทางกลับมาจากภูฎาน ไปทำอะไรบ้าง ประมาณนี้
สรุปคำตอบก็คือว่า องค์ชายลามะน้อย ช่วงในวัยเด็กพระองค์ “ระลึกชาติ” ได้ เวลาเดินทางไป “มหาวิทยาลัยนาลันทา” ประเทศอินเดีย พระองค์สามารถชี้ “ห้องเรียน” ที่พระองค์เคยเรียนกุฎิ ที่เคยจำพรรษาได้..
หลังปลูกต้น “พระศรีมหาโพธิ์” และส่ง “องค์ชายลามะน้อย” เสด็จกลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เจ้าคุณประสาร” พระเทพวัชรสารบัณฑิต จูงมือผู้เขียนให้ไปส่ง “อธิการบดี” พระพรหมวัชรธีราจารย์ ขึ้นรถ พร้อมกับ ดร.สุรพล สุยะพรหม และคณะผู้บริหาร มจร
“ผู้เขียน” บอกอธิการบดี มจร ว่า เจ้าคุณอาจารย์เป็นคนมีบุญ ได้ถวายสอนธรรมะให้ถึง 2 ราชวงศ์ 2 ราชสำนัก และวันนี้ถือว่าเป็นเกียรติแก่ มจร ที่วันนี้ “องค์ชายลามะน้อย” มาเยือนและมาเรียนหนังสือ ที่ มจร


Leave a Reply