เก็บตกงานปริญญา “มจร” เล่าเฉพาะเรื่อง “มอญ”

“ผู้เขียน” ในวงคนที่รู้จักกัน เป็นที่รับรู้ว่าเป็นคนไทยเชื้อสายมอญ และทำเรื่องสนับสนุนส่งเสริมพระภิกษุสงฆ์สามเณรมอญมานานตั้งแต่ปี 2545 ด้วยการตั้ง “ชมรมส่งเสริมพัฒนาการศึกษาพระสงฆ์มอญ” โดยให้ทุนการศึกษาพระมอญรูปแรกมาเรียน มจร สืบเนื่องมาจาก “ยุคก่อน” พระสงฆ์มอญไม่นิยมมาเรียนที่ประเทศไทยคณะสงฆ์มอญยุคก่อนนิยมไปเรียน “อินเดีย-ศรีลังกา”

“ผู้เขียน”  ยุคก่อน “บ้ามอญ” เหตุผลที่บ้าแบบ “ทุ่มเท” ทั้งแรงกาย เวลา และเงิน เพราะเชื่อว่า “การศึกษา” เท่านั่น จึงจะเป็น “ทางรอด” ให้มอญมี “ที่ยืน” ทางสังคม และอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางโลกที่กำลังแข่งขัน “สร้างคน” ด้วยการศึกษา

จึงร่วมมือกับพระผู้ใหญ่มอญรูปหนึ่งชื่อ “พระอาจารย์ธัมมะ” ตระเวนไปขอลูกชาวบ้านมาบวช ไปหาโรงเรียนตามชายแดน ติดป้ายประชาสัมพันธ์ วิ่งไปขอสามเณรจากวัดมอญแถวจังหวัดกาญจนบุรี ปีแรกได้มาประมาณ 20 รูป ส่งไปอยู่ตามวัดต่าง ๆ  ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล บางรูปมีบัตรเป็นคนไทยดีหน่อย บางรูปที่ไม่มีพอ ส่วนใหญ่ติดขัดปัญหาเรื่องที่อยู่ แต่สุดท้ายผู้เขียนก็อ้อนวอนเพื่อน ๆ รับจนได้ ปัจจุบันสามเณรเหล่านี้เป็นไทยใหม่ โดยสมบูรณ์แล้ว

ประมาณปี 2557 ได้สัมผัสกับ “คณะสงฆ์รามัญนิกาย” เป็นครั้งแรก จึงชวนไป “ทัศนศึกษา” ที่ “มจร -มมร” และจังหวะเดียวกันนี้ได้รู้ “พระมอญ” ที่เป็นคนทุ่มเทกับมอญประเภท “บ้ามอญ” คนรูปหนึ่งคือ “พระปัญญาวุฒิ วุฒิฑฺโก” พระมอญ จังหวัดลพบุรี แต่รูปนี้ เน้น “วัฒนธรรม-งานสงเคราะห์”  จึงชวนกันตั้ง “มูลนิธิรามัญรักษ์” โดยนำเงินจาก “ชมรมส่งเสริมพัฒนาการศึกษาพระสงฆ์มอญ” มาทำเป็นทุนเบื้องต้น 2 แสนบาท ขับเคลื่อนเรื่องวัฒนธรรมและสาธารณสงเคราะห์ทั้งภายในประเทศและชายแดนแบบ คนบ้าเจอคนบ้า

แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังไม่ทิ้ง “พระเณร” โดยจัดบวช “ศาสนทายาท” ทุกปี

“คณะสงฆ์รามัญนิกาย” เมื่อได้มาเชื่อมกับ “มจร”  ผู้เขียนก็ชวนให้มาศึกษาต่อที่ “มจร-มมร” ท่ามกลางเสียง “คัดค้าน” จากพระภิกษุมอญบางรูปในเมืองไทย โดยมองว่าคณะสงฆ์ “รามัญนิกาย” ยังไม่พร้อม!!

แต่ ผู้เขียน มองว่า โอกาส มาถึงแล้ว โลกนี้ไม่มีความพร้อม “ลงมือทำ” นั่นแหละ คือ ความพร้อม!!

จึงนำ “สามเณร” ที่ส่งเรียนตามวัดต่าง ๆ ส่งศึกษาต่อที่ “มจร” บางรูปตัดขัดเรื่อง “หมายเลขคนไทย” แต่สุดท้ายด้วยความเป็น “ผู้เขียน” เป็นศิษย์เก่า มจร ก็ผ่านไปได้ โดยอาศัย “คอนเนคชัน” และชวนพระมอญประเทศเมียนมามาศึกษาต่อ “มจร” พร้อมกันนี้พยายามให้คณะสงฆ์รามัญนิกายทำ MOU กับ มจร เพื่อ ผูกเสี่ยว กันให้แน่นแฟ้นกันยิ่งขึ้น

ตรงนี้มีปัญหานานัปการ ทั้งเรื่อง การสื่อสาร และอุปสรรค ในด้าน “กฎระเบียบ” ของ มจร สุดท้าย “พระพรหมบัณฑิต” อธิการบดี มจร สมัยนั้น ส่งมือดี “พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส” ผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ ลงมาช่วย ทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“ผู้เขียน” หลังจากนำคณะสงฆ์ “รามัญนิกาย” มาเยือน “มจร” เรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับความ “เมตตา” จาก “พระพรหมบัณฑิต – พระมหาหรรษา” ชวนคณะสงฆ์รามัญนิกายมาร่วมงาน “วิสาขบูชาโลก” ทุกปี เพื่อ “เปิดโลกกว้าง” ให้คณะสงฆ์รามัญนิกาย

“ดร.สุรพล สุยะพรหม”  รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป ซึ่งเป็นอาจารย์ของผู้เขียน มีปีหนึ่งพาไปกราบตัวแทน “คณะสงฆ์รามัญนิกาย” ที่เดินทางมาร่วมงานประสาทปริญญาหรืองานวิสาขบูชาโลก สักอย่างจำไม่ได้แล้ว

ดร.สุรพล สุยะพรหม เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้ว จึงบอกกับผู้เขียนว่า คณะสงฆ์รามัญนิกาย เป็นคณะสงฆ์เก่าแก่และเคยเจริญรุ่งเรืองเป็น “ต้นแบบ” ให้กับคณะสงฆ์หลายประการ และท่านเหล่านี้ยังทำงานสนองงานพระพุทธศาสนาอยู่อย่างเข้มแข็ง “มจร” ควรยกย่องเชิดชูท่านเพื่อให้กำลังใจในการทำงานให้ผู้เขียนส่งรายชื่อ “พระภิกษุ-คฤหัสถ์” เพื่อให้ผู้บริหาร มจร พิจารณาปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ ถวายท่าน

“ผู้เขียน” เมื่อได้รับ “ไฟเขียว” พรวิเศษนี้จึงขอให้ “คณะสงฆ์รามัญนิกาย” บ้าง “คณะสงฆ์มหาเย็น” หรือรามัญธรรมยุตบ้าง หรือแม้กระทั้ง “คฤหัสถ์” ชาวมอญบ้าง ส่งประวัติให้ “มจร” พิจารณา โดยผ่าน “เจ้าคุณประสาร” พระเทพวัชรสารบัณฑิต รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา รวบรวมเป็นประจำทุกปี

หลังจากเซ็นต์ MOU หลังจากมีจำนวน “นิสิตมอญ” ใน มจร มากขึ้น ความร่วมมือภายใน “มจร” ก็บังเกิด เช่น มีการสัมมนาทางวิชาการกับศูนย์อาเซียนศึกษา ของ มจร มีการจับมือกับคณะสงคมศาสตร์ มีการสัมมนาร่วมกับคณะมนุษย์ไปทัศนศึกษา รัฐมอญ ประเทศเมียนมา ดังนี้เป็นต้น ขณะที่ “มจร” เองก็มีการมอบทุนประเภทฟรีตลอดหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาตรีและโท แก่พระนิสิตมอญและนิสิตคฤหัสถ์

งานประสาทปริญญาระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมามีรองประธานคณะสงฆ์รามัญนิกาย รองประธานคณะสงฆ์นิกายมหาเย็น หรือ รามัญธรรมยุต และ คฤหัสถ์ มาร่วมรับด้วย โดยมีนิสิตมอญจบปีนี้ประมาณ 6 -7 รูป/คน จึงมีคนมอญจากพม่าบ้าง มอญที่มาขายแรงงานในไทยบ้าง มอญจากเมืองมอญบ้าง แต่งชุด “ขาวแดง” สวยงามหลายร้อยคนมาร่วมงาน ซึ่งอัตลักษณ์แบบนี้ ใครเคยมางานประสาทปริญญา มจร ก็จะเจอเป็นประจำทุกปี   ปัจจุบัน “มจร” มีนิสิตมอญทั้งพระภิกษุและคฤหัสถ์ประมาณ 150 รูป/คน และมี “ชมรมพระนิสิตมอญ -ชมรมนิสิตมอญ” ในการเป็นศูนย์กลางประสานงาน

“ผู้เขียน” ที่เล่ามานี้มิได้หมายความว่า “ยกตน” เพียงแต่อยากเล่าด้วยความภูมิใจว่า “ครั้งหนึ่ง” ในชีวิตได้ตอบแทน “คุณบรรพบุรุษ” และตอบแทน ” มจร” พร้อมกับเล่าสะท้อนผ่านข้อเขียนสื่อถึงผู้บริหาร “มจร” เพื่อรำลึกถึงในความ “เมตตา” และมี “น้ำใจ” ของพวกท่านเหล่านี้ และทั้งเพื่อให้สื่อถึง คณะสงฆ์มอญและชาติพันธุ์มอญ ให้มีความ “รู้สึก” เฉกเช่นเดียวกับผู้เขียน!!

Leave a Reply