วันที่ 11 ธันวาคม 2568 พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ เจ้าคุณหรรษา เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ให้กำลังใจญาติโยมที่หนีภัยการสู้รบมาอยู่ที่ภายในวัดที่ใช้เป็นศูนย์พักพิงในพื้นที่ปรางค์กู่ และมอบทุนทรัพย์ดูแลค่าอาหาร และเครื่องดื่มในเบื้องต้นแก่ศูนย์ต่างๆ ราว 150,000 บาท

พร้อมกับกล่าวว่า แม้จะกำลังใจว่า ให้ถือเสียว่าพ่อแม่ปู่ยาตายายได้พาลูกหลายมาปฏิบัติธรรมในวัด แต่ดูแววและน้ำเสียงก็ทำให้รับรู้ถึงความกังวลที่ต้องพากันหนีออกจากพื้นที่มีความเสี่ยงจากการสู่รบ ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีพ่อบ้านจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ยอมอพยพออกมาเพราะต้องรักษาทรัพย์สมบัติในบ้าน
สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่ง วัด และพระสงฆ์ในชนบทยังคงมีบทบาทสำคัญในการดูแลพี่น้อง โดยแปลงวัดให้เป็นศูนย์พักพิง พระสงฆ์ และญาติโยมพากันจัดเตรียมอาหารการกินดูแลกันและกันดุจญาติมิตร ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ในอีกด้านก็เชื่อว่าพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนกัมพูชาก็คงดูแลเอาใจใส่พี่น้องชาวกัมพูชาไม่ต่างกัน
ประวัติศาสตร์โลกสอนให้เราได้รู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน มักจะมีทางแก้ไขสองด้านให้มนุษยชาติได้ใช้เลือกเสมอ (1) สายเหยี่ยว ใช้การสู้รบ สงคราม และความรุนแรง เพื่อทำลายล้างคนที่เชื่อ ต้องการและปฏิบัติต่าง (2) สายพิราบ ใช้สันติวิธีในการแสวงหาทางออกร่วมกันเพื่อมิให้เกิดความสูญเสีย
การตัดสินเลือกเดินเส้นทางแรกมักจะมาพร้อมกับต้นทุนที่จะต้องจ่ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง สังคม รวมถึงชีวิตของเพื่อนร่วมชาติที่จะต้องนำมาแลกเปลี่ยนกับวิธีคิด อุดมการณ์ และความเชื่อ
ส่วนวิธีที่สองจะมาพร้อมกับสติปัญญาที่เข้มแข็ง และความสัมพันธ์เชิงบวกที่คู่ขัดแย้งจำเป็นต้องมีความไว้เนื้อเชื้อใจระหว่างกัน ตราบใดที่แต่ละฝ่ายยังมีการยึดมั่นในจุดยืนอย่างเข้มแข็ง เสียงระเบิด หยาดน้ำตา และสายเลือดก็จะยังอาบรดแผ่นดินของสองชาติต่อไป


Leave a Reply