ศึกชิง“จ้าวยุทธจักร” ณ พุทธมณฑล

“เปรียญสิบ” เป็นคนชอบดูหนังจีนกำลังภายในประเภทชิงความเป็นหนึ่งในเจ้ายุทธจักร หรือไม่ก็จำพวกใช้เล่ห์เหลี่ยม ชิงความเป็น  “จ้าวบัลลังค์” พวกนี้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ ก็เอาด้วยคาถา ใช้ ตัวแทนบ้าง นอมินีบ้าง ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้..ตัวเองชนะ

“ชาวพุทธ” สังเกตบ้างไหม ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ “สมรภูมิ” ใน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ตั้งอยู่พุทธมณฑล ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกร้อน “ระอุ” อย่างน้อย 2 เรื่องใหญ่

เรื่องแรก มีบุคคลกลุ่มหนึ่งยื่นเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรและกรมบัญชีกลาง ตรวจสอบสัญญาว่าจ้างอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนหนึ่ง เป็นที่ปรึกษาสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติด้วยค่าจ้าง 5 หมื่นบาทต่อเดือน เมื่อเกิดเรื่องมีการร้องเรียน สุดท้ายกรมบัญชีกลาง “ไม่เห็นชอบ” ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจ้างต่อ “อดีตผอ.พศ คนดังกล่าว”

คำถาม..เอกสารชั้นความลับหลายอย่าง..ถูกปล่อยผ่านสื่อมาจากใคร??

และการประชุม มส. ล่าสุด “สิปป์บวร แก้วงาม” ผอ.พศ.ที่เพิ่งเกษียณ แถลงว่า ที่ประชุม มส.มีมติแต่งตั้งให้ตนดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา มส. และที่ปรึกษา พศ. พอเห็นเค้าลางบ้างหรือยังโยม!!

“เปรียญสิบ” ก็งงนิด ๆ ว่า มส. มีอำนาจให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะตั้งใครเป็นที่ปรึกษาได้เมื่อไร เท่าที่รู้ มส. มีอำนาจแค่จะตั้งใครคนใดคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษา มส. เท่านั้น..

หรือ “หมากนี้” มีคนต้องการ “ไม้กันหมา” ใช่หรือไม่ และ มส. อาจตกเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว

และทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า “เกม” นี้  “ครู” ชนะ “ตำรวจ” ใช่หรือไม่!!

จบว่าด้วยที่ปรึกษาสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่จะตามดูต่อว่า สิปป์บวร แก้วงาม จะได้รับสัญญาจ้างค่าตอบแทนเดือนละ 5 หมื่นบาทเหมือนกับ อดีตผอ.พศ.คนเก่า หรือไม่..

เรื่องที่สอง หลังจาก สิปป์บวร แก้วงาม เกษียณไป มีคำลือว่าได้วาง รองคนหนึ่ง เอาไว้ขึ้นมาเป็น จ้าแห่งยุทธจักร “เบอร์หนึ่ง” ในพุทธมณฑล แต่ถูก “ขวาง” จาก ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีแรงผลักจาก “ผู้มากบารมี” เช่นเดียวกัน จนมีกระแสข่าวว่า “รัฐบาล” จะเอา “คนนอก” มาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหา “ความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้น

“การศึกมิหน่ายเล่ห์” ทราบว่าทั้ง 2 กลุ่ม วิ่งเต้นใช้พลังเพื่อชิงความเป็น จ้าวยุทธจักร ณ พุทธมณฑล ทุกรูปแบบ

“เปรียญสิบ” ไม่ค่อยรู้จักใครในสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงสนับสนุน “คนใน” มากกว่า “คนนอก” เพราะ “คนใน” จะรู้จักงานคณะสงฆ์ รู้จักวัฒนธรรมองค์ และมีความสนิทชิดเชื้อกับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี

แต่!!สมมติรัฐบาลต้องการแก้ความขัดแย้งจริง ๆ มันมีหน่วยงานหนึ่งที่ทำงานใกล้เคียงกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคือ “กรมการศาสนา” แบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเป็น “คนนอก” ได้หรือเปล่า แต่กล้ารับประกันว่าคนกรมการศาสนาหลายคนเป็น “ลูกวัด” มาก่อนแทบทั้งสิ้น!!!

ลองชำเลืองไปพิจารณาดูครับ??

……………….

คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง

โดย….“เปรียญสิบ” : riwpaalueng@natdanai4

เครดิตภาพ: เพจสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ

Leave a Reply