วันที่ 15 ส.ค.2562 เพจพระเมธีวชิโรดม – ว.วชิรเมธี ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า
“หากโลกเหลือต้นไม้เพียงต้นเดียว”
.
มีเรื่องเล่าว่า
พระราชาหนุ่มพระองค์หนึ่ง
เพิ่งได้รับราชสมบัติจากพระราชบิดาของพระองค์
ทันทีที่ได้เสวยราชย์
พระองค์ก็ทรงเริ่มบริหารราชการแผ่นดินทันที
แต่ช่างน่าเสียดายที่วิธีบริหารของพระองค์นั้น
วางรากฐานอยู่บนความเห็นแก่ตัวของพระองค์ล้วนๆ
.
พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างพระตำหนักหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
ไม่ใช่ใหญ่กว่าเดิมในพระนครเท่านั้น
หากแต่ทรงต้องการให้ใหญ่กว่าพระตำหนัก
ของพระราชาทุกพระองค์ในโลกนี้ด้วย
.
เพื่อให้ความฝันของพระองค์เป็นจริง
พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ทหารไปตัดไม้มาให้มากที่สุด
เพื่อเร่งสร้างพระตำหนักทั้งวันทั้งคืน
ทหารราวแสนนายถูกเกณฑ์ไปตัดไม้มาจากป่าดงดิบ
จากเทือกเขา จากป่าต้นน้ำ ป่าลุ่มน้ำ
ภายในเวลาไม่ถึงสามปี
ต้นไม้ในพระราชอาณาจักรของพระองค์
ก็ร่อยหรอลงไปอย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์
ป่าที่เคยหนาแน่นเขียวขจี
บางที่บางแห่งถึงขนาดแดดส่องลงไปไม่ถึงพื้น
ก็กลับเหี้ยนเตียนเหลือแต่ตอ
.
ราชอาณาจักรสีเขียวอันตรธานหายไป
ทะเลทรายเข้ามาแทนที่
แม่น้ำ ลำธาร น้ำตก หนอง บึง ล้วนแห้งขอด
แม้แต่เมฆเบื้องบนก็ไม่ลอยผ่านราชอาณาจักรของพระองค์อีกต่อไป
นับวัน ทะเลทรายยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะต้นไม้เล็กๆ ก็อยู่ไม่ได้
เมื่อไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้กำบัง หญ้าเหนือผิวดินก็แห้งผาก ไหม้เกรียม
น้ำบนดิน น้ำในดิน ค่อยๆ ปลาสนาการไป
สิงสาราสัตว์ บ้างก็ย้ายหนี บ้างก็ล้มตายเกลื่อนกลาด
.
เมื่อป่าแห่งมหานครหายไป
อาหารก็หาย อากาศก็เลวร้าย
ฟ้าฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล
อากาศหรือก็วิปริตผิดสำแดงโดยประการต่างๆ
จากนั้นประชาชนก็เริ่มป่วยไข้เพราะอดอยากและเพราะอากาศไม่พอหายใจ
พสกนิกรของพระองค์ต่างเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
ไม่กี่วันต่อมาพระราชาก็ทรงพระประชวรด้วย
.
ทรงให้ตามหมอหลวงเข้ามา
หมอหลวงตรวจอาการแล้วก็สรุปว่า
ร่างกายของพระองค์ต้องการอากาศบริสุทธิ์อย่างเร่งด่วน
หากภายในสามวันนี้ พระองค์ไม่มีอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ
พระองค์ และ ประชาชนทั้งประเทศ ก็จะล้มหายตายจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
.
พระราชาถามว่า จะหาอากาศบริสุทธิ์ได้จากที่ไหน
หมอหลวงตอบว่า จากต้นไม้ใหญ่ที่สุดในประเทศ
“ก็แล้วต้นไม้เช่นน้ันมันอยู่ที่ไหนเล่า”
พระราชาตรัสถามด้วยพระอารมณ์แปรปรวน
“ขอเดชะ บัดนี้ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นในพระนครของพระองค์
เหลืออยู่เพียงต้นเดียวเท่านั้น” หมอหลวงทูลตอบ
“ทำไมจึงเหลืออยู่เพียงต้นเดียว”
“ก็เพราะว่า ต้นอื่นๆ มันได้กลายเป็นพระตำหนักของพระองค์หมดแล้ว”
“อุวะ แล้วเจ้าไม้ต้นเดียวที่ว่า ทำไมมันถึงยังไม่ถูกตัด”
“เพราะมันเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เทพประจำนครสิงอยู่ พระเจ้าข้า”
“ข้าต้องทำอย่างไร จึงจะได้อากาศบริสุทธิ์มาช่วยหายใจ” พระราชาปุจฉา
“ก็ไม่ยากหรอกพระเจ้าข้า พระองค์ก็แค่ไปยังต้นไม้ต้นนั้น
จากนั้นก็ขอให้ทรงกอดต้นไม้ต้นนั้น แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
หากพระองค์ทรงทำอย่างนั้นสักหนึ่งอาทิตย์
พระโรคาพาธของพระองค์ก็จะหายไปทันทีพระเจ้าข้า”
.
วิธีรักษาโรคด้วยการให้พระราชาไป “โอบกอดต้นไม้”
ที่หมอหลวงทูลถวายแด่พระราชากลายเป็นข่าวที่แพร่ออกไปจากพระราชวัง
อย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง
ประชาชนนับล้านที่กำลังป่วยหนัก หายใจรวยริน
เพราะไม่มีอากาศบริสุทธิ์เพียงพอสำหรับหายใจ
ต่างดีอกดีใจเป็นนักหนา
พวกเขาต่างกุลีกุจอพาสังขารอันอิดโรยโหยไห้
ตรูกันออกจากบ้านพร้อมๆ กันนับแสนนับล้านคน
ถ่องแถวของประชาชนจำนวนมหาศาล
ที่หนีตายมุ่งหน้าไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางพระนคร
แออัดยัดเยียดราวกับมดสีดำนับล้านๆ ตัว
ที่กำลังย้ายรังหนีน้ำท่วม
.
กว่าพระราชาจะเสด็จมาถึงโคนต้นไม้นั้น
ประชาชนคนป่วยด้วยโรคขาดอากาศบริสุทธิ์หายใจ
ก็แออัดยัดเยียดกันอยู่รายรอบบริเวณต้นไม้นั้นแล้วนับล้านคน
พวกเขาตะเกียกตะกายก่ายกอดกันอยู่รอบต้นไม้เป็นชั้นๆ
ถมทับกันจนบาดเจ็บล้มตายสูงเป็นภูเขาเลากา
แต่ถึงยากเข็ญอย่างไรก็ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่เพียงก้าวเดียว
.
ต้นไม้ใหญ่ยักษ์เพียงต้นเดียว
อันตั้งเป็นศูนย์รวมใจอยู่กลางมหานคร
ไม่อาจผลิตอากาศบริสุทธิ์เพื่อรองรับคนทั้งเมืองได้
ในที่สุด ต้นไม้ที่ถูกประชาชนจำนวนมหาศาลตรูเข้ากอดพร้อมกัน
ก็ทนต่อการแบกภาระอันหนักหน่วงไม่ไหว
มันค่อยๆ เหี่ยว แห้ง และยืนต้นตายไปตามลำดับ
เมื่อต้นไม้อันเป็นแหล่งออกซิเจนบริสุทธิ์ต้นสุดท้ายตายลง
.
ประชาชนทั้งเมืองก็ตาย
และแล้วพระราชาก็…สวรรคต
.
(พระเมธีวชิโรดม/ว.วชิรเมธี)
ปรับปรุงใหม่โดยอาศัยเค้าโครงเดิม
Leave a Reply