“มหานิยม” อารมณ์ค้าง! โอด “ฝ่ายค้านเวลาไม่พอ” ขอพื้นที่ FB อภิปรายไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” ประเด็นพระ

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2564 เวลา 11.00 น. ที่อาคารรัฐสภาเกียกกาย นายนิยม เวชกามา ส.ส.พรรคเพื่อไทย สกลนคร เปิดเผยว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ตนและเพื่อนๆ ส.ส. หลายคนเตรียมเนื้อหาที่จะอภิปรายแต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาและปัจจัยอื่นๆ ทำให้วันนี้ตนต้องขอเตรียมเพื่อแถลงอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ผลของการโหวตจะผ่านไปแล้วก็ตาม ตนขอตั้งประเด็นการอภิปรายว่า “ผู้ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรม จริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศ”

นายกประยุทธ์ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดิน เกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน เป็นนายกที่ทำลายองค์กรสงฆ์ สร้างความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยมีนายกคนไหนทำมาก่อน แม้กระทั่งกับร่างที่ไร้วิญญาณของพี่น้องคนไทย ที่เสียชีวิต จากโควิดมากกว่าหมื่นศพ ก็ปล่อยให้วัดวาอาราม เผาศพกันไปตามยถากรรม ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ แต่กลับชุบมือเปิป แอบอ้างเป็นผลงานของตนเอง

ผมออกสำรวจตามวัด ตามมหาวิทยาลัยสงฆ์ ตอนนี้วัดตั้งโรงทาน ตั้งศูนย์พักคอย เป็นโรงพยาบาลสนาม และศูนย์ตรวจคัดกรองเชื้อโควิค 19 ท่านทำกันเองครับ แต่รัฐบาลกลับให้สำนักงานพุทธมีคำสั่งให้วัดเหล่านั้นทำรายงานส่งเหมือนพระเป็นลูกน้องสำนักพุทธ เป็นลูกน้องนายกฯ เพื่อจะนำมาเสนอเป็นผลของตนเอง ทั้งที่ไม่มีงบประมาณมาสนับสนุนให้วัดเลย

พี่น้องคนไทยที่เสียชีวิต มากกว่า 12,374 คน แต่นายกรัฐมนตรีปล่อยให้วัด ให้พระสงฆ์เป็นสัปเหร่อ เผาศพตามยถากรรมรัฐบาลได้เอาผลงานของพระ มาประกาศผ่านเว็บไซด์ของสำนักพุทธฯ ว่าเป็น #นโยบายของตน บอก “มีวัด 772 วัดเผาศพฟรี”

วามเป็นจริงพระท่านเวทนาชาวบ้านที่ลำบาก แต่รัฐบาลไม่มีปัญญาช่วยเหลือชาวบ้าน จึงต้องทำกันเอง และวัดดำเนินการมาก่อน รัฐบาลจะมาเสนอเอาหน้า ชุบมือเปิปอ้างเป็นผลงานของรัฐบาล ผ่านทางสำนักงานพุทธโดยที่อ้างว่า เป็นนโยบายและตัวเองเป็นคนสั่งพระทั่วประเทศให้ทำแบบนี้

ไม่อายกันบ้างหรือครับ!!
เวลาทำร้ายพระก็ไปเที่ยวจับท่านสึก ยัดข้อหาเงินทอนวัดบ้าง??
ข้อหาอื่นๆ บ้าง??

เวลาอยากได้ผลงานของพระก็เอามาประกาศเป็นผลงานของตนเอง!!

เป็นน่าสลดหดหู่ใจอย่างยิ่ง

ผมไปที่ไหนๆ พระในวัดส่วนใหญ่ไม่อยากรับเงินจากสำนักพุทธ เพราะกลัวถูกกล่าวหา เล่นงานแจ้งความดำเนินคดีในภายหลัง เหมือนกับพระเถระผู้ใหญ่ที่ถูกดำเดินคดีเงินทอนวัด สะเทือนความศรัทธา กระทบจิตใจชาวพุทธไปทั่วโลก

เพราะกรณีเงินทอนวัด นายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้ละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 29 วรรคสอง อย่างแจ้งชัด

ขณะนั้น นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการยังกับว่า #คดีถึงที่สุดไปแล้ว จับถอดจีวร ถอดสมณศักดิ์ #แต่พระทุกรูปยังเป็นเพียงผู้ถูกสำนักพุทธกล่าวหาเท่านั้น จึงไม่มีผลบังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 วรรคแรก

ผมขอใช้พื้นที่นี้พูดแทนพระ เมื่อปี 2561 สำนักพุทธได้นำข้อมูลหลักฐานต่อนายกฯเกี่ยวกับกับการถอดสมณศักดิ์อดีตพระผู้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาเงินทอนวัด โดยที่นายกฯไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง ว่ามีข้อความอันเป็นเท็จ ดังนี้

ข้อ 1 ในขณะนั้น พระทุกรูปยังเป็นแต่เพียงผู้ถูกกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น แต่นายกรัฐมนตรี เสนอข้อความอันเป็นเท็จว่า ท่านได้กระทำการทุจริตไปแล้ว

ข้อ 2 พระเถระทุกรูป ยังไม่สละสมณเพศ พ้นจากความเป็นพระ แต่เสนอข้อความอันเป็นเท็จว่า สละสมณเพศ พ้นจากความเป็นพระภิกษุไปแล้ว

เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นแต่เพียงอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน ยังไม่ได้มีการส่งฟ้องด้วยซ้ำ แต่กลับถูกฉวยเป็นโอกาสทำลายพระด้วยการเสนอถอดถอนสมณศักดิ์ “นี่ท่านนายกรัฐมนตรีถึงขั้นเข้าข่ายเอาความเท็จขึ้นกราบบังคมทูล” เลย

ถ้าเป็นเช่นนั้น หากมีใครต้องการกลั่นแกล้งพระ ก็เพียงแต่ไปแจ้งความ ก็นำไปอ้างเป็นเหตุเสนอถอดถอนสมณศักดิ์พระได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องให้โอกาสท่านได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองใดๆ ทั้งสิ้น

ผมขอตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
1. ใครเป็นผู้ตั้งเรื่องการถอดถอนสมณศักดิ์พระผู้ใหญ่?

2. เอกสารตั้งเรื่องว่าอย่างไร?

3. ตั้งเรื่องมาจากหน่วยงานไหน ตั้งเรื่องมาจากสำนักงานพุทธ จากสำนักเลขาธิการนายก หรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี??

ก่อนการอภิปรายผมตามสืบข้อมูลครับ เท่าที่ผมสอบถามหาเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว #ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน พูดง่ายๆ คือ ไม่มีหลักฐานการตั้งเรื่อง หรือมีใครจับใส่มือท่านนายกโดยไม่มีต้นเรื่อง ผมตั้งใจจะถามนายกรัฐมนตรีในสภาว่า เมื่อมีการทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้กับพระ

ในฐานะนายกรัฐมนตรี ท่านจะรับผิดชอบและแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?? เสียดายที่พรรคไม่เห็นด้วยที่จะให้เวลาผมพูดเรื่องนี้ ถึงไม่ได้พูดในสภา แต่เรื่องนี้ผมยังไม่จบ ผมยังจะตามต่อไปเรื่อยๆ

นอกจากนั้น ผมยังได้ข้อมูลมาอีกว่า สำนักพุทธยังตามราวีพระผู้ใหญ่ไม่เลิก พอเล่นงานด้วยมาตรา 29 และมาตรา 39 ไม่ได้

ขณะนี้ได้เสนอมหาเถรสมาคมมีมติให้พระผู้ใหญ่ 3 วัด พ้นจากความเป็นพระด้วยอาบัติปาราชิก คือ วัดสระเกศ วัดสามพระยา และวัดสัมพันธวงศ์ ตั้งแต่วันที่เซ็นรับเช็คจากสำนักพุทธ แต่อีก 30 กว่าวัดที่สำนักพุทธไปกล่าวหาไว้ และรับเช็คพร้อมกัน กลับไม่เป็นอาบัติปาราชิกมันประหลาดครับ

นายกรู้เรื่องนี้บ้างไหม?? มีเลือกปฏิบัติชัดๆ จะแจ้งความดำเนินคดีก็เลือกเอาแค่ 3 วัด เมื่อท่านสู้คดีจนชนะ จะให้เป็นอาบัติปาราชิก ก็เลือกให้เป็นอาบัติปาราชิกแค่ 3 วัด ทำอย่างนี้กันได้อย่างไร

ผมมีข้อมูลว่า นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผอ.สำนักพุทธ ได้ไปให้การต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2561 และต่อมา ยังไปให้การกล่าวหากับกองปราบซ้ำอีก เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ว่า มีวัดต่าง ๆ อีกถึง36 วัด อยู่ในสำนวนคดีที่รับงบเช่นเดียวกันกับวัดสามพระยา วัดสระเกศ และวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเอกสารเหล่านี้ได้ปรากฏอยู่ในสำนวนคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

การออกมติมหาเถรสมาคมว่า พระเถระทั้ง 3 วัด เป็นอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระตั้งแต่วันรับเช็คจากสำนักพุทธ อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าพระอีก 36 วัด ซึ่งรวมถึงวัดกรรมการมหาเถรสมาคมอีกหลายวัด ที่สำนักพุทธไปกล่าวหากับพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ก็ต้องเป็นอาบัติปาราชิกไปด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างนี้นายกรัฐมนตรีปล่อยให้สำนักพุทธซึ่งขึ้นตรงต่อท่านทำลงไปได้อย่างไร!!

ในมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว พบว่า มีลักษณะหมิ่นประมาท มีการใส่ความ กล่าวหา ว่า “มีการสร้างหลักฐานเท็จในการต่อสู้คดี” ซึ่งไม่เป็นความจริง

เพราะในคำพิพากษาของศาล ก็ไม่มีคำพิพากษาในส่วนใด ระบุว่า ท่านสร้างหลักฐานเท็จ หรือท่านนำหลักฐานเท็จไปต่อสู้คดี แต่ศาลกลับพิพากษาว่า #เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนจนหมดสิ้น

ขณะนี้ทนายความของทางพระเขาได้ทำหนังสือโต้แย้งมติมหาเถรสมาคมไปแล้ว และทนายยังได้ไปแจ้งความไว้แล้ว ที่ สน. สำราญราษฎร์ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า คดีเงินทอนวัดเริ่มจากการที่ข้าราชการในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีไปฟ้องร้องกล่าวหาพระ ต่อมาลุกลามใหญ่โตกลายมาเป็นพระฟ้องพระ

ในกรณีเช่นนี้ นอกจากสำนักพุทธเองเป็นคดีความแล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปในฐานะผู้ออกมติ จะต้องกลายเป็นคดีความไปกับสำนักพุทธด้วยหรือไม่?? เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 45 พรบ สงฆ์ อยู่ด้วย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีอายุความ 15 ปี

ผมขอย้ำอีกว่า ในเรื่องเสนอถอดถอนสมณศักดิ์ขัดรัฐธรรมมนูญของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้มีอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง คือคุณพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาด ที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม เรื่องการกล่าวหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เวลาผ่านมาตั้ง 3 ปีของรัฐบาลชุดนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการนำหลักฐานเท็จมาฟ้อง บางคดีศาลยกฟ้องไปแล้ว มีคำพิพากษาระบุชัดเจนว่า พระเถระที่ถูกกล่าวหาเหล่านี้ ไม่ได้มีการทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้น มันจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การกล่าวหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่ผ่านมานั้น เป็นการจงใจกลั่นแกล้งใส่ความ ของกลุ่มเหลือบเกาะกินในสำนักพุทธ ที่มีกลุ่มจ้องทำลายพระเถระที่กลุ่มของตนไม่ชอบ เพราะรู้ทันพวกเดียรถีย์เหล่านี้

ผมตั้งใจจะมอบเอกสารสำคัญให้นายกรัฐมนตรีในการอภิปรายในสภา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้อภิปราย

นายกรัฐมนตรี ควรรีบดำเนินการแก้ไขให้มันถูกต้อง เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 รัฐมีหน้าที่จะต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน

หากนายกรัฐมนตรีไม่รีบเร่งดำเนินการแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ก็จะเป็นตราบาปติดตัวท่านนายกรัฐมนตรีตลอดไปเหมือนกับตราบาปที่ติดตัวจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ได้กระทำการล่วงเกิน หลวงพ่อพระพิมลธรรม หรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภ มหาเถระ) รักษาการสมเด็จพระสังฆราช ในเวลาต่อมา วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึงในหมู่ชาวพุทธ จนถึงทุกวันนี้

ข้อมูลที่ผมกล่าวมาข้างต้น คือ คำตอบ ที่ผมไม่ไว้วางใจ นายกประยุทธ์ คนนี้ ให้บริหารประเทศ และพระศาสนา ต่อไปได้

Leave a Reply