ความต่าง “คดีเงินทอนวัด” จากเฟส 1 ถึง เฟส 3

 

คดี “เงินทอนวัด” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ก็  “กลับมา”  ดังอีกครั้ง เมื่อ 2 พระเถระ ระดับเจ้าคณะจังหวัด 2 แห่ง ถูกดำเนินการทางคดีโดยตำรวจ ปปป. คือ พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี และ พระอุดมสิทธินายก รองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี  ข้อกล่าวหาเงินทอนวัดแยกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ

1.กลุ่มที่ถูกกล่าวหาด้วยแรงจูงใจทางการเมือง

2.กลุ่มที่ถูกกล่าวหาด้วยแรงจูงใจของเงินทอนจริง

3.กลุ่มที่อยุ่ระหว่างการถูกล่าวหาและอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน

กลุ่มแรกเป็นที่ทราบกันดีว่า มี “แรงจูงใจทางการเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะพระเถระที่โดน ล้วนเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมที่ฝ่ายรัฐบาลสงสัยว่ามีบทบาทสำคัญทางการเมือง ที่ทำให้ความมั่นคงของรัฐบาล “กระเทือน!”

มีวัดสามพระยา พระพรหมดิลก วัดสระเกศ พระพรหมสิทธิ และวัดสัมพันธวงศ์ พระพรหมเมธี จึงมีการดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการ โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปอ้างพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้ทางอดีต ผบ.ตร. ดำเนินการ

เรื่องนี้ อดีต ผบ.ตร. “เปิดเผยเอง” สามารถเป็นพยานได้!

วัดสามพระยา ได้รับเงิน 5 ล้านบาท และเงินถูกนำไปใช้ก่อสร้างถาวรวัตถุของวัด “ทุกบาททุกสตางค์” ไม่พบการทอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแม้แต่สตางค์แดงเดียว!

วัดสัมพันธวงส์ รับไป 2 ล้าน “ไม่พบ” หลักฐานการทอนคืนไปให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเช่นกัน!

ส่วนวัดสระเกศ เงินทั้งหมดเป็นเงินอุดหนุนสำนักงานส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มหาเถรสมาคมมีมติตั้งขึ้นมาสมัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เป็นการเสนอขอตั้ง “งบประมาณประจำ” ปีงบประมาณปกติของทุกปี

จากการสืบสวนสอบสวนและไต่สวนพบว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปใช้ในกิจการความมั่นคงจริง โดยเฉพาะความมั่นของพระพุทธศาสนาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

เมื่อมีแรงจูงใจทางการเมืองครอบงำ พระเถระจากทั้ง 3 วัด จึงถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำ เป็นเหตุให้ถูกบังคับให้สละผ้าจีวร ถูกถอดสมณศักดิ์ และถูกสำนักพุทธฯ ตั้งเรื่องให้มหาเถรสมาคม “จองเวร” ไม่ให้กลับมาห่มจีวรได้อีกด้วย

ในเฟสที่ 2 เจ้าคณะจังหวัดนครนายก พระวรสิทธินายก หรือ เจ้าคุณแจ๊ค จำนวนเงิน 123 ล้านบาท มีหลักฐานว่ามีการทอนเงินกลับไปให้อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจริง โดยมีโอนเงินให้วัดต่าง ๆ ในจังหวัด 12 วัด แล้วให้วัดต่างๆ เหล่านั้นทอนเงินคืนให้

แล้วมีหลักฐานชัดเจนว่า มีการนำเงินที่ได้รับการทอนมา ไปซื้อที่ดินหลายแปลงในนามภรรยาและลูกสาวของอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจริง

เฟสที่ 3 มี 2 วัด คือ พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี จำนวน 30 ล้านบาท และพระอุดมสิทธินายก รองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี จำนวน 31.5 ล้านบาท

เงินที่พระเทพเสนาบดีและพระอุดมสิทธินายกรับนั้นเป็นเงินก้อนที่สนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมเช่นเดียวกัน

ความเหมือนกันคือ ทั้ง 2 วัด “ไม่มี” โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ

วัดกวิศฯ ลพบุรีของพระเทพเสนาบดีมี  “โรงเรียนการกุศล” ที่โด่งดังในการเรียนการสอนนักเรียนให้ประสบความสำเร็จ

ทางวัดจึง “ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์”

ทาง ปปท. จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ตามที่เป็นข่าว  5 ข้อกล่าวหา

ส่วนวัดบางอ้อยช้าง นนทบุรีของพระอุดมสิทธินายกยกได้รับเงิน 2 ครั้ง ก้อนแรก 13 ล้านบาท สนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม และอีก 18.5 ล้านบาทสนับสนุนโครงการต่าง ๆ  รวมทั้งสิ้น 31.5 ล้านบาท

ที่ชัดเจนของวัดบางอ้อยช้าง คือ จากการตรวจสอบ “เส้นทางการเงิน” บัญชีของพระอุดมสิทธินายก มีหลักฐานการโอนเงินกลับคืนไปยังอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศ. จำนวน 23.5 ล้านบาทจริง

ซึ่งหากดูจากมูลเหตุนี้อนาคตการ “ก้าวหน้า” ทั้งในวงการ “คณะสงฆ์” และ “มหาวิทยาลัยสงฆ์” ของ พระอุดมสิทธินายก คงเจอ “ทางตัน” แล้ว??

คงไม่มีใครกล้าฝืน!! แต่งตั้งหรือเลื่อนขั้น  “ผู้มีคดี”  ซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือน “ตาลยอดด้วน” ปาราชิกทางสังคม ขึ้นมีตำแหน่ง “เหนือกว่า” ที่เป็นอยู่อีกต่อไปแน่แท้!!

จะยังไงก็แล้วแต่ เมื่อไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องและครอบงำ หรือไม่มีการจับมือกันระหว่างกรรมการ มส บางรูปกับผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คดีจึง “เป็นไป” ตามกระบวนการของการดำเนินคดี “ปกติ”

ทำให้พุทธบริษัทสบายใจ ที่ไม่เห็นภาพพระเถระไทย “ถูกบังคับ” ให้สละ “ผ้าจีวร” ให้นุ่งขาวห่มขาว และไม่ถูก “ถอดถอนสมณศักดิ์” เหมือนกับอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม อดีตรองสมเด็จทั้ง 3 คือ พระพรหมดิลก พระพรหมเมธี และพระพรหมสิทธิ

อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ “อยู่ระหว่าง” การดำเนินการสืบสวนสอบสวน ซึ่งล้วนเป็น “ระดับบิ๊ก ๆ” ของคณะสงฆ์ไทยทั้งนั้น!

เมื่อไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองเข้ามาครอบงำ “กระบวนการยุติธรรม” ก็หวังว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของ “พระ” จะอยู่บนหลักการของ “พระธรรมวินัย” อย่างแท้จริง!

มหาเถรสมาคมคงจะไม่ยอมให้กฎอะไรต่อมิอะไรยิ่งใหญ่ “เหนือ” พระธรรมวินัย!!

Leave a Reply