ถอดคลิปคำอภิปรายไม่ไว้วางใจ: “นิยม” แฉกลางสภาสัญญาเช่า “ศาสนสมบัติกลางย่านประตูน้ำ” ส่อเอื้อประโยชน์เอกชน-ผู้หญิงเป็นบล็อกเกอร์ใหญ่  

วันที่ 22 ก.ค. 65   เมื่อวานนี้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน นายนิยม เวชกามา ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดสกลนคร อภิปรายเปิดข้อมูลการทำสัญญาเช่าศาสนสมบัติตลาดเฉลิมโลกขนาดพื้นที่ 5 ไร่ 2 งาน ย่านประตูน้ำ อาจส่อให้เกิดการทุจริต พร้อมทั้งกล่าวหาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามีพฤติกรรม ที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่  ปล่อยปละละเลย มีส่วนรู้เห็น และสมคบคิดให้มีการทุจริต แสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา   เว็ปไซต์ข่าว  “Thebuddh” ได้ถอดเทปคำอภิปรายไว้โดยละเอียด มีความดังนี้

กราบเรียนท่านประธานสภาแทนราษฎรที่เคารพ กระผม นิยม เวชกามา  สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดสกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย

ท่านประธานครับผมอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา  ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ  เพื่อให้ติดตาม ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ตลาดเฉลิมโลก สี่แยกประตู้น้ำ

ท่านประธานครับ ผมเองต้องขอบอกว่า ผมกล่าวหา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามีพฤติกรรม ที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่  ปล่อยปละละเลย มีส่วนรู้เห็น และสมคบคิดให้มีการทุจริต แสวงหาผลประโยชน์ภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของคนทั้งประเทศ  โดยเอาผลประโยชน์ของศาสนาไปให้พรรคพวก ที่ปรึกษาฯ ในการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องบริวาร และไม่ดำเนินการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง จนทำให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคณะสงฆ์ และพุทธศาสนา อย่างมากมายมหาศาล ซึ่งในพระไตรปิฎกเรียกว่า “กรรม”

@กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา•

เมื่อเช้านี้ผมฟังท่านประยุทธ์ท่านมาชี้แจงรอบแรกแล้วว่า วันนี้เป็นเรื่องของกรรม มันเข้าประเด็นครับ ซึ่งการกระทำของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมถือว่าเป็น “ครุกรรม” คือ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”  

ผมไม่ได้อภิปรายรัฐมนตรีประจำสำนักนายก  ท่านอนุชา นะครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ นายกต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง

ท่านประธานครับ ผมต้องกราบเรียนท่านประธานว่า วันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ วันนี้ เป็นวันพระ เลยต้องอภิปรายในวันพระ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าการกระทำของนายกครั้งนี้ “มันเป็นวิบากกรรม” ซึ่งท่านต้องรับผิดชอบ  เพราะทรัพย์สินที่ผมกล่าวหา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อพระสงฆ์ และพระพุทธศาสนาโดยส่วนรวม ซึ่งผมจะลำดับต่อไป

การกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีเอาสมบัติพระพุทธศาสนาไปทุจริตคอรัปชั่น ฉ้อโกง เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน และพรรคพวกอย่างไร ใครเป็นคนได้ประโยชน์ และใครได้ผลประโยชน์จากตัวนายก

เดิมทีเดียว นั่งร้านของท่านบอกว่า ท่านนายกบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนไข่ในก้อนหิน แต่ผมยืนยันว่า  เป็นเรื่องที่ถึงตัวนายกอย่างแน่นอน

ผมจะขอปูพรมต่อไป เพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ทราบว่า การบริหารราชการแผ่นดินของนายกนั้น เป็นการบริหารราชการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา แล้วเกิดความเสียหาย เกิดความขัดแย้งในสังฆมณฑล อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในบรรดานายกของประเทศไทย

@ มส เด็กวัด และเอกชน ผลประโยชน์ศาสนสมบัติกลาง  จากตลาดเฉลิมโลก สี่แยกประตูน้ำ ตกอยู่ที่ใคร•

ผมเริ่มจากโครงสร้างของพระพุทธศาสนา  สำนักพุทธมันเป็นเรื่องแปลกที่ เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ไทย คือโครงสร้างเดิมทีเดียวก็เป็นไปโดยปกติ

สำนักงานพุทธศาสนาเป็นโครงสร้างที่นายกรัฐมนตรี เป็นคนกำกับ มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วก็เป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไปเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ทั้งประเทศ  ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพระพุทธศาสนา  มากที่สุด เขาเรียกว่า “ศาสนสมบัติกลาง”  

ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ ก็คือ ผลประโยชน์มหาศาลในศาสนสมบัติกลาง  ตลาดเฉลิมโลก สี่แยกประตูน้ำ ข้าวมันไก่ ที่ท่านทั้งหลายทราบดี

โดยหลักมหาเถรสมาคม คือ มส. เป็นผู้ปกครองสงฆ์  ส่วนสำนักพุทธ เขาเรียกว่า “เป็นเด็กวัด”

แต่คราวนี้สำนักพุทธเป็นหัวหน้าพระ นี้คือ ประเด็นที่ผมต้องบอกให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้ทราบว่า  บ้านเมืองมันไปประหลาดแล้ว คือ จุดเริ่มต้นอยู่ตรงนี้เองครับ

@ ใช้ ม. 44 ย้ายจากสายจับมาเป็นสายสวด•

นายกรัฐมนตรีท่านทำเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ซึ่งปกติเขาไม่ทำกัน ท่านเอา ผบ.จาก DSI เพียงระดับ 8 ขึ้นมาเป็น ผอ.สำนักพุทธ ระดับ 10  pass ชั้นขึ้นมาทีเดียว

มันไม่มีครับ ในประเทศนี้ เขาไม่ทำกัน  แต่ท่านนายกประยุทธ์ทำ ต้องบอกว่าจำเป็นที่ผมต้องพูด เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับการที่ผมกล่าวหานายกว่า ทุจริต ฉ้อโกง ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องกล่าวถึง คำสั่งตามมาตรา 44  อยู่เฉยๆ ออกคำสั่งมาตรา 44 เอาคนจาก DSI ผบ.ซี 8 ขึ้นมาเป็น ผอ.สำนักพุทธ  ซี 10

ในพระพุทธศาสนา เรียกว่า  “จากสายจับ มาสู่สายสวด” หมายความว่า อยู่ดี ๆ เขาอยู่ DSI  ในกระบวนการจับกุม แต่เอามาเป็น ผอ.สำนักพุทธ ซี 10 ซึ่งเป็นสายสวด    คนภายในบอกว่า มาใหม่ๆ กราบพระยังไม่เป็นเลยท่านประธานครับ

อันนี้ คือ ประเด็นที่ผมต้องบอกว่า ผมเองในฐานะที่เป็นคนบวชเรียนมา เป็นมหาเปรียญ จบปริญญาเอกพุทธศาสน์จากมหาวิทยาลัยพระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  พบความผิดปกติ 2 ประการ

ประการแรก คือ  พบการแต่งตั้งผิดปกติ

ประการที่สอง คือ พบความผิดปกติในการเอาสมบัติทางพระพุทธศาสนา ไปทุจริตคอรัปชั่น  โดยเอาศาสนสมบัติกลาง ตลาดเฉลิมโลกสี่แยกประตูน้ำ ที่ตรงนี้ คือ ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา  ท่านอย่าคิดว่า เป็นทรัพย์สินของคนอื่นนะ นี่คือทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา

 ทรัพย์สินตรงนี้ เขาซื้อมาตั้งแต่ ปี 2477 เป็นของคณะสงฆ์ ซื้อจากผู้ใจบุญ ท่านหนึ่ง  ท่านอายุมาก ๆ จะรู้ว่า รถเมล์ขาว ของใคร รถเมล์ขาว คือ นายเลิศ นี่และ เจ้าของเดิม มีโฉนดชัดเจนนะครับ  ที่พูดมานี่ ผมมีหลักฐานชัดเจน  พอซื้อมาแล้ว วัตถุประสงค์หลักตอนนั้น คือ ซื้อมาเพื่อหารายได้ ส่วนหนึ่งให้โรงไฟฟ้าเช่า

ปรากฏว่า ต่อมา มันเป็นความโชคดีหรือ เป็นเพราะสายตาของพระสงฆ์สมัยนั้นมองไกล ก็เกิดตัดถนนเป็นเพชรบุรีตัดใหม่  จึงเกิดมูลค่ามหาศาลขึ้นมา  มันจึงเกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนี้  คือ คำสั่งที่ว่า เอาซี 8 มาซี 10 ก็เพื่อมาทำประโยชน์ให้กับตัวเอง

นายกอออกคำสั่ง เพื่อเอาคนของตัวเองมาทำประโยชน์กับที่ดินตรงนี้ ดูกันต่อไปว่า คำสั่งนี้มันเกิดได้ยังไง เมื่อย้ายคนของตนมาแล้ว ประโยชน์เกิดขึ้นกับใคร  “จากสายจับมาเป็นสายสวด”

ท่านประธานครับ  ต่อมา พอคน ๆ นี้ คำสั่งนี้เป็นประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ผมไม่เอ่ยนามไม่ได้ ท่าน พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์  ตำแหน่งเดิม ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI  ให้พ้นตำแหน่ง มาดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ออกคำสั่ง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 โดยให้พ้นจากตำแหน่งคนเดิม  หลังจากนั้น ปรากฏว่า จากการที่ข้ามสายมา ท่านเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

@ก่อวีรกรรมนายกรัฐมนตรีที่มาจากเผด็จการ คือ จับสึก หยัดเหยียดข้อหาเงินทอนวัดพระผู้ใหญ่

ในยุคของท่าน เมื่อท่านมาอยู่  ท่านได้ก่อวีรกรรมหลายประการ ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในพุทธศาสนา คือ เป็นยุคที่คณะสงฆ์ปั่นป่วนมากที่สุด

ในสมัยที่ท่านอยู่ เริ่มจากการจับกุมพระเถระผู้ใหญ่ 7 รูป จากวัดสระเกสก็ดี จากวัดสามพระยาก็ดี จากวัดสัมพันธวงศ์ก็ดี  ระดับรองสมเด็จ 3 รูป  จับแล้วให้สึก นี้คือนายกรัฐมนตรีที่มาจากเผด็จการ ให้สึกโดยทั้งที่ตัวท่านยังถือว่า บริสุทธิ์ จับได้จับไป กล่าวหา ก็ต้องให้ครองผ้าเหลืองอยู่  โดยหลักการ

@แขวนพระไว้เต็มคอแต่ไม่ปกป้องพระ

แต่ท่านไม่อย่างนั้น ท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งอ้างตัวเองตลอดว่า  ท่านแขวนพระเต็มคอนะ ท่านเคยบอกอย่างนั้น  ผมจึงถือว่า ท่านละเมิดสิทธิขึ้นพื้นฐานของพระ ผมจึงถือว่า ในขณะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านไม่เคยปกป้องพระสงฆ์เลย ไม่เคยออกมาพูดคุยกับคณะสงฆ์  ไม่เคยออกมาทำการใดที่เป็นประโยชน์แก่คณะสงฆ์  ท่านประธาน ลูกน้องของท่านเอง ซึ่งท่านเอามานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ท่านไม่เคยตักเตือน  ท่านไม่เคยบอกว่า นั้นทำไม่ถูก มีแต่สร้างความปั่นป่วน

@ ยุคที่ ผอ. สำนักพุทธใหญ่กว่ารัฐมนตรี•

ผมจึงต้องแสวงหาข้อเท็จจริงด้ายตัวเอง จึงพบว่า ยุคนายกรัฐมนตรีคนนี้ได้สร้างความอัปยศที่สุดในวงการคณะสงฆ์ไทย

ท่านประธานครับ  ท่าน พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์  ซึ่งเป็นลูกน้องท่าน มียุคหนึ่ง พอท่านนายกย้ายให้มาอยู่สำนักพุทธ ท่านรัฐมนตรีออมสิน เห็นว่า มันไม่ชอบมาพากล  ท่านก็จะย้ายออกไป

ท่านทราบไหม ท่านประธาน ผอ.สำนักพุทธ ใหญ่กว่ารัฐมนตรี ท่านบอกท่านไม่ไปหรอก ถึงจะมีบันทึกเรียบร้อย ยืนยันว่า ท่านไม่ไป  ไม่เดินทาง  เพราะท่านไม่ใช่ลูกน้องรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แต่ท่านเป็นลูกน้องนายกรัฐมนตรี  ผมคิดเแล้วก็ละอายใจถึงท่านอนุชาเลยนะ ท่านจะบังคับบัญชาได้ยังไง  ลูกน้องบอกไม่ใช่ลูกน้อง   มีหนังสือบันทึกชัดเจนครับ

ผมต้องลำดับเหตุการณ์ว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ ทุจริตยังไง  ขนาดคำสั่งใหม่ออกมาว่า  ให้ย้ายไปสำนักนายก ให้ย้ายไปที่อื่น ย้ายไปภาคใต้ ให้นายมนัส ซึ่งเป็นอธิบดีในกรมการศาสนามาเป็น  ยังย้ายไม่ได้เลย ออกคำสั่งใหม่ซ้อนขึ้นมา แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของผอ.สำนักพุทธคนนี้ขนาดไหน ท่านประธาน

ต่อมาทำไมคนที่เป็นผอ.สำนักพุทธ กล้าที่จะบันทึกเสนอนายกแบบนั้น  ก็ต้องมีคนให้ท้ายครับ นี่แหละผมจึงถือว่า ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งแล้ว แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ยอมปฎิบัติตาม แล้วบันทึกว่า ยืนยัน แล้วนายกต้องออกคำสั่งใหม่  ก็ถือว่า ไม่ธรรมดา

ต่อมา พอคำสั่งนายกที่ไม่ได้ไป พอเกษียณ  ท่านนายกก็แต่งตั้ง นายพงศ์พร เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คำสั่งชัดเจนครับ อันนี้มีในพระราชกิจจานุเบกษา ไม่ใช่เรื่องลับ มันต้องเปิดเผยได้  ไม่ใช่เอกสารปลอมครับ  และจากวันนั้นถึงวันนี้ นายคนนี้ก็ยังเป็นที่ปรึกษาแล้วยังนั่งอยู่ในตำแหน่ง สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ มีรถ มีที่จอดรถ เป็นประจำ ผมไปถ่ายมาเมื่อวานนี้  มีตำแหน่ง มีห้องทำงาน เป็นปกติ แล้วท่านอนุชาจะสั่งการได้ยังไง นี่คือ ประเด็น  เป็นเครื่องยืนยันว่า สำนักพุทธขึ้นต่อนายกโดยตรง ไม่ได้ผ่านกระบวนการ ในยุค พ.ต.ท.คนนี้ เป็น ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ  ผมจึงบอกว่า การบังคับบัญชาแบบนี้  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียุคนี้ ท่านอนุชาอย่าไปหวังเลยว่า จะสั่งการได้  เพราะมันมีคนสั่งการไว้แล้ว

ผมอายแทนท่านนะท่านอนุชา สั่งการอะไรไม่ได้ ลูกน้องตัวเอง  เขาบอกเป็นลูกน้องนายก แล้วก็นั่งประจำอยู่  วันนี้ก็ยังไม่เกษียณ ทั้งที่เกษียณแล้ว เพราะเป็นที่ปรึกษานายก ตำแหน่งใหญ่โต

ประเด็นที่ 5  ผมกล่าวหาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี เอาสมบัติของพระพุทธศาสนาไปทุจริต คอรัปชั่น เอื้อประโยชน์แก่เอกชนมากมายมหาศาล

ประเด็นนี้ ผมถือว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กระทำกรรมหนักที่สุด  คือ เรียกว่า เป็นกรรมที่ร้ายแรง  เป็นครุกรรม  โดยเฉพาะ ประเด็นเรื่อง สังฆเพท พระสงฆ์แตกแยกวุ่นวาย

จากการฉ้อโกง ทรัพย์สินศาสนสมบัติกลาง ตลาดเฉลิมโลก มันเป็นเรื่องร้ายแรง ร้ายแรงจนกระทั่งศาสนสมบัติของสงฆ์ท่านยังกล้าที่จะเอาไปผันเป็นเงิน มันเป็นบาปหนัก มันเป็นความผิดร้ายแรง แต่ท่านก็กล้าทำ  เพราะท่านเอาผลประโยชน์เป็นหลัก

ที่ผมพูดมาประเด็นมันตรงนี้ว่า  แล้วท่านจะทำยังไง ท่านจะปฎิเสธได้ยังไง จะบอกว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ เป็นเรื่องของผู้ปฎิบัติการ แต่พฤติกรรมมันล้วนมาถึงท่านทั้งนั้น ท่านนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

@ สัญญาเช่า 40 ปี สัญญาธรรมหรือสัญญาทาส

ท่านประธานครับ ข้อมูลที่ผมกล่าวมา   ทรัพย์สินศาสนสมบัติกลางที่ตลาดเฉลิมโลก วันนี้ มีการทำสัญญาเช่าที่ไม่ชอบ ผมจึงยืนยันว่า ไม่ชอบ คือ เสียเปรียบทั้งหมด

สัญญานี้เป็นการทำสัญญา 40 ปี กับ……………… ทำเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์  ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ ได้ลงนามให้เช่าที่ดินตลาดเฉลิมโลกกับ………….. มูลค่าสัญญา 400 ล้าน  ระยะเวลา 40 ปี

ท่านประธานครับ แค่เริ่มต้นสัญญาก็ผิดแล้ว  ตามประมวลกฎหมายแพ่ง สัญญาเช่าไม่สามารถกระทำได้เกิน 30 ปี   ผมสงสัย จึงมีคำถามว่า  มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมต้องเร่งรีบ ทำไมต้องทำสัญญาที่ผิดต่อข้อกฎหมาย ทำไมต้องทำสัญญา 30 ปี แต่ท่านก็มีทางออกว่า  ทำสัญญา 30 ปี แล้วบวกอีก 10 ปี

สัญญาเช่ามูลค่า 400 ล้าน ระยะเวลา 40 ปี โดยในสัญญาเช่าบอกว่า เพื่อพัฒนาปลูกสร้างศาสนสมบัติเฉลิมโลก ฝั่งเหนือ ที่ตั้งเดิม คือ ตำบลประแจจีน ปัจจุบัน คือ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

ในขณะนั้น นายพงศ์พร เป็นผู้ลงสัญญา เอง โดยสัญญาดูสวยหรู บอกให้ 4,000 ล้าน เดี๋ยวดูต่อไปครับว่า 4,000 ล้าน ได้ไหม สัญญา 40 ปี

ผมจะบอกว่าสัญญานี้เป็นสัญญาฉ้อฉล  สำนักพุทธเสียเปรียบที่สุด เพราะเจตนาเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ผิดทั้งกฎหมาย  ผมต้องไล่เป็นรายสัญญา  คือสัญญาเช่าในพื้นที่ บอก 79,000 ตรม. มีอาคารสามแท่ง

สัญญาฉบับนี้ แม้แต่คิดก็ยังผิดแล้ว ผิดยังไง 1 ถึง 3 ปีแรก ไม่ต้องเสียค่าเช่า 1 ถึง 3 ปี ไม่ต้องเสียค่าเช่า  ปีที่ 4 ถึงปีที่ 10  ปีละ 780,000 คือ ตกเดือนละ 65,000 บาท

ท่านประธานครับ  ที่ตรงนั้นมันยิ่งกว่าทองคำเลยนะท่านประธาน  แค่แผงขายพระก็เดือนละแสนบาท ผมไปดูแล้ว แค่แผงขายพระ เขายังต้องจ่ายเดือนละแสน แต่ 3 แท่งที่จะทำสัญญานี่  แท่งละ 10 ชั้น ไม่ฉ้อฉลได้ยังไง  เดือนละ 65,000  3 แท่งนะ

นอกจากนั้น ท่านยังทำสัญญาแปลกๆ ในสัญญาเช่า ระบุข้อที่ 8  ในการเช่าที่ดินนั้น ผู้เช่าก็บอกว่า ชำระค่าบำรุงกลางต่างหากจากค่าเช่าเป็นเงิน 115,000,000  แต่ท่านซอยลงมา ไม่ต้องจ่ายเงินครั้งเดียว แล้วก็ทยอยจ่ายไปเรื่อย ๆ ผมจะขึ้นให้ดู มันมีระยะที่ 1 ที่  2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5  รวมยังไง ท่านบอกว่า สัญญาบอกจะได้ 400 ล้าน  ผมไปรวมยังไงมันก็ได้แค่ 232,490,000  สัญญาก็ยังเอาเปรียบอยู่ดี ขนาดบอกว่า 400 ล้านบาท น้อยแล้ว แต่เมื่อคิดรวมเงิน ก็ได้แค่ 232 ล้าน

ท่านประธานครับ  สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาที่ 42/2562  ตกลงกัน 400 ล้าน แล้วก็ไม่ได้จ่ายเงิน รวมไปรวมมาก็ได้แค่ 232 ล้าน  ท่านทยอยจ่ายค่าเช่า ค่าอะไร ท่านเขียน เขียนเพื่อให้สำนักพุทธเสียเปรียบทั้งหมด   สัญญาเช่าชัดเจน

สรุปแล้วฝั่งเหนือ ผมวิเคราะห์ให้ท่านดูก็ได้ว่า ผมนำมาวิเคราะห์เพื่อปกป้องศาสนสมบัติกลางของพุทธศาสนา  ซึ่งบรรพบุรุษของเรา พระในยุคนั้น หัวก้าวหน้ามากนะพระสงฆ์ในยุคนั้น ซื้อไว้เพื่อเป็นศาสนสมบัติของประเทศ ของชาวพุทธทั้งหมด ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมเชื่อว่าเป็น สส.ชาวพุทธทั้งหมด  ต้องกราบเรียนว่า ที่ผมต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ยังไง

@ มติ มส เป็นหลักฐานมัดแน่น ทำสัญญาเช่าที่ก่อน มส มีมติอนุมัติ

สัญญานี้ทำวันที่ 4 มิถุนายน 2562  แต่ไปขออนุมัติมหาเถรสมาคม  ซึ่งมีการประชุม ครั้งที่ 21/2562  เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562  ล่วงมาแล้ว 2 เดือน ต้องถามนายกว่า ลูกน้องท่านเร่งรีบไปไหน ทำไมต้องเร่งรีบ มีผลประโยชน์อะไรกรรมอะไรบังตาหรือไม่  ทำสัญญาไปแล้ว 2 เดือน มส. ค่อยมาขออนุมัติตามหลัง

@ทำสัญญาซ้อน ผู้เช่าเดิมยังไม่หมดสัญญาเช่า

ท่านประธานครับ  ที่สำคัญ ผู้เช่ารายเดิม หมดสัญญาเช่า พ.ศ.2568  วันนี้ก็มีการฟ้องสำนักงานพุทธ เพราะว่าสัญญาเช่าเดิมยังไม่หมด แต่ท่านก็เร่งรีบที่จะทำสัญญา  อันนี้จึงเป็นประเด็นว่า ผลประโยชน์ตกเป็นของใคร

ที่สำคัญบริษัทที่มาทำสัญญาเช่านั้น ตอนจดทะเบียนมีมูลค่าเพียง 1 ล้าน บาท แต่ก็มาเพิ่มทุนทีหลัง  มีทุนจดทะเบียน 1 ล้าน แต่มาทำสัญญาเช่า 400 ล้าน  เป็นเรื่องแปลก

พอทำสัญญาเช่า ผู้จดทะเบียนมีหุ้นอยู่ สองหมื่นห้าพันหุ้น  บริษัทนี้ไปจดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติซเวอร์จิน  ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ไม่ต้องตรวจ ไม่ต้องตรวจอะไรเลย สามารถผันเงินได้ ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ

ต่อมา วันที่ 21 กันยายน  บริษัท ดังกล่าว ถอนหุ้นไปหมดเลย 49,998 ผู้ที่ทำสัญญาเหลือเพียงแค่ หุ้นเดียว  อันนี้เป็นเครื่องชี้เจตนาว่า ท่านทำเพื่อผลประโยชน์ของใคร  ผมจึงถือว่า มีเจตนาอำพราง เจตนาเพื่อทำให้เสียหาย  บริษัทนี้มีเงื่อนไขในการตั้งบริษัท ที่หมู่เกาะบิติซเวอร์จิน  ผู้ถือหุ้น ทำประชุมที่ใดๆ ในโลกก็ได้  ไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ   ไม่ต้อแสดงงบการเงินและบัญชี  ไม่ต้องให้ผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจสอบ  เป็นเจตนาที่จะมีการฟอกเงินชัดเจน  อันนี้ต้องยืนยันให้เห็นครับ

จึงมีประเด็นว่า  เป็นเจตนาอำพรางชัดเจน แล้วการส่งสัญญา ไม่มีแบบแปลน ว่า ใน 10 ปี จะทำอะไรต่อไปได้ โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยให้สำนักพุทธ  สัญญาที่เอื้อเอกชน

สำนักพุทธเสียเปรียบ  ศาสนาพุทธเสียเปรียบ  อ้างว่าได้เงิน 4,000 ล้าน ในอีก 40 ปีข้างหน้า อาคารที่สร้าง พออีก 40 ปี ก็แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว

ข้อที่สอง  3 ปีแล้ว แบบแปลนยังไม่เสร็จ ข้อที่สาม  ยินยอมโดยอัตโนมัติ ไม่แย้งภายใน 30 วัน ถือว่า เห็นชอบ

ข้อที่สี่ ยังไม่หมดสัญญาเช่าก็สามารถที่จะ ผู้เช่าก็ดำเนินการให้มีผู้เช่าช่วงได้ ซึ่งเป็นโปรโมชั่น 3 ปีไม่ต้องจ่ายค่าเช่า  เงินบำรุงก้อนแรกที่ตกลงกัน ในจำนวน 400 ล้าน ให้ผ่อนส่ง  เป็นเรื่องที่ส่อเจตนาว่า  ศาสนาสมบัติกลางนี้ ท่านเอาไปปู้ยี้ปู้ยำหาเงินหาทอง  โดยไม่เห็นหัวแก่พระสงฆ์ แก่พระพุทธศาสนา

วันนี้  ผมต้องกราบเรียนว่า เราเสียเปรียบมาก คิดจากกรมธนารักษ์ เทียบกับอาคารที่อยู่ติดกัน อาคารเฉลิมลาภ  4,000 ล้าน 40 ปี  แต่ของเรา 40 ปี ได้ 400 ล้าน

@หยัดเหยียดข้อหาพระที่คัดค้านการเช่าที่ศาสนสมบัติกลาง•

อันนี้ คือ การเปรียบเทียบให้เห็น ความเสียเปรียบได้เปรียบ ต่างกันมาก  ต้องถามนายกรัฐมนตรีไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ชาวบ้านส่วนหนึ่งเคยไปร้อง เรื่องเดียวกันนี่แหละ ที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม วันนี้เรื่องเงียบไปตั้งแต่วันที่เป็นข่าว

ทั้งคดีเรื่องเงินทอนวัด ท่านจับพระ ที่คัดค้านการเช่าที่ศาสนสมบัติกลาง ยัดคดีทุจริตต่างๆ  วันนี้ยังเงียบ  ท่านประธานครับ นี้คือ ความเจ็บปวดของชาวพุทธที่เขาได้รับผลจากที่ท่านนายกหากินกับวัด  หากินกับพระพุทธศาสนา

@มีผู้หญิงเป็นบล็อกเกอร์ใหญ่

แต่คนที่อยู่เบื้องหลัง ท่านนายกรัฐมนตรีทราบไหมครับ ว่าเป็นใคร เป็นผู้หญิงที่เป็นบล็อกเกอร์ใหญ่เลย ครับ  พระรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ผู้หญิงคนนี้คือใคร  ผมจึงต้องถามนายกว่าท่านทราบไหม ไอ้ที่มาหากินกับพุทธศาสนา เป็นคนอยู่เบื้องหลัง พระรู้หมดทั้งประเทศ เขาถึงขนาดพูดว่า อย่าว่าแต่พระรู้เลย แม้แต่พระพุทธรูปในพระอุโบสถยังส่ายหน้า

ผมจึงขอสรุปว่า  ที่ผมกล่าวมาข้างต้น ผมจึงไม่สามารถที่จะไว้วางใจนายกรัฐมนตรี  ด้วยการกระทำมีพฤติกรรม ฉ้อโกงทรัพย์สินศาสนสมบัติกลางของพระพุทธศาสนา ที่ผ่านมา ท่านก็เป็นคนโกหกอยู่แล้ว บิดเบือนข้อเท็จจริง  เป็นคนพูดจาไร้สาระ ทำครุกรรม คือ กรรมหนัก  คนแบบนี้ ในด้านพระพุทธศาสนา เรียกว่า “มีอเวจีเป็นที่ไป” และ ผมก็ขอให้พี่น้อง ส.ส.เรา ได้คิดถึงความถูกต้อง ถูกผิด บาปกรรม ว่า ท่านยังจะยกมือโหวตให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งหากินกับวัดกับวา แบบนี้หรือไม่

ท่านประธานครับ ท่านนายกไม่มา ท่านไม่ฟัง แต่ผมต้องยืนยันว่า  ถ้าผมมีอำนาจ มีวาสนาเมื่อไร ผมจะเสนอพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ครับ ท่านประธาน  ขอบคุณมาก ท่านประธานครับ

Leave a Reply