เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2565 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ พระสงฆ์ต้นแบบแห่งการสาธารณสงเคราะห์ องค์กรสาธารณสงเคราะห์ต้นแบบ และจิตอาสาร่วมขับเคลื่อนงานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ในจำนวนนี้มีพระครูพิศิษฏ์ประชานาถ (ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย) รองเจ้าคณะอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เจ้าอาวาสวัดอินทาราม รองประธานสมัชชาพระสงฆ์ผู้นำขับเคลื่อนหมู่บ้านศีล 5 หนกลาง และกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ จ.สมุทรสงครามและพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี รวมอยู่ด้วย จัดโดยฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.และภาคีเครือข่าย
ในการนี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้กล่าวสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า งานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ต้องมีความเป็นจิตอาสา หรือ จิตสาธารณะเป็นหลักสำคัญต่อการปฏิบัติศาสนกิจ และเป็นแนวทางในการดำเนินงาน มุ่งสร้างความมั่นคงด้านพระพุทธศาสนา สร้างศรัทธา สามัคคี สังคม ชุมชน ให้เข้มแข็ง ด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ไร้ที่พึ่ง มุ่งพัฒนาสังคมปฏิบัติเกื้อกูลต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยการสงเคราะห์ โดยมีกรอบดำเนินการ 4 ด้าน คือ สงเคราะห์ เกื้อกูล พัฒนา บูรณาการ
อนึ่ง การปฏิบัติหน้าที่งานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ ต้องบูรณาการกับภารกิจงานคณะสงฆ์อีก 5 ด้าน คือ การปกครอง การเผยแผ่ การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การสาธารณูปการ รวมทั้งบูรณาการงานสำนักงานคณะกรรมการอบรมประชาชนกลาง (อ.ป.ก) และภาคีเครือข่ายนั้น คือการเข้าไปส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนากับเครือข่าย ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งความสำคัญของการมีเครือข่ายนั้น ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ การเพิ่มโอกาสแก้ปัญหา เกิดการพึ่งพาตนเอง เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เกิดกระบวนการผลักดันนโยบาย ประสานภารกิจให้สอดคล้องกัน เมื่อเครือข่ายได้ช่วยกันกันเต็มที่ก็จะเกิดความสามัคคี เป็นพลังบวรอย่างเป็นเอกภาพ
พร้อมกันนี้ดร.หลวงพ่อแดงได้ร่วมร่วมบุญกฐินสามัคคีซื้อที่ถวายวัดป่าศรีแสงธรรม 100,000 บาท โดย โครงการซื้อที่ดินถวายวัดป่าศรีแสงธรรม 51 ไร่ ๆ ละ 1.2 แสนบาทศูนย์การเรียนรู้วัดป่าศรีแสงธรรมได้ดำเนินการพัฒนาวัด พัฒนาคน พัฒนาชุมชน ตามหลัก “บวร” คือบ้าน วัด โรงเรียนและราชการ เป็นแนวทางการพัฒนาคนในทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ให้ความรู้คู่คุณธรรมกับนักเรียน ให้ความรู้คู่คุณธรรมนำสู่สัมมาชีพให้กับคนในชุมชน และเป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สอดรับกับนโยบาย BCG Economy ของการพัฒนาประเทศชาติ เป็นเกษตรอินทรีย์วิถีธรรม ในแปลงพระราชทานโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง (วัดป่าศรีแสงธรรม) 20 ไร่ และ 15 ไร่ รวมเป็น 35 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน เป็นแหล่งอาหารให้กับ 200 กว่าคนในแต่ละวันในโรงเรียนศรีแสงธรรม และเผื่อแผ่ไปตามวัดวาอารามต่าง ๆ เพื่อให้ความอนุเคราะห์ สงเคราะห์ เกื้อกูลญาติโยมที่มาสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
พื้นที่ขยายใหม่ 51 ไร่ จะเชื่อมต่อกับโครงการพัฒนาพื้นที่ 34 ไร่ เบื้องต้นจะทำเป็นอุทยานธรรมะ เชิงเกษตรพอเพียง ปลูกป่าปลูกผักระยะเริ่มต้น ควบคู่กับสถานปฏิบัติธรรมที่สงบสงัดวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ให้กับพุทธศาสนิกชน และผู้ที่สนใจทั่วไปทั้งไทย และต่างประเทศ
การแสวงหาทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนก็อยู่กับเราได้แค่วันตาย ไม่รู้จะเปลี่ยนไปหาใครบ้าง แต่การซื้อที่ดินถวายวัดเป็นสมบัติติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ ไม่ได้เปลี่ยนมือไปไหน เป็นการสร้างอริยทรัพย์ให้ยังอยู่คู่กับพระศาสนาสืบต่อไป เมื่อเราให้ทั้งคุณธรรมทั่งความรู้ย่อมเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการสร้างอุทยานธรรมะ เพราะผู้มีปัญญา ย่อมหาทรัพย์ได้ การให้ธรรมะ(วิชา) ชนะการให้ทั่งปวง
จึงขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินซื้อที่ดินถวายวัดป่าศรีแสงธรรม 51 ไร่ 6.12 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมโคก หนอง นา วัดป่าศรีแสงธรรม บ.ดงดิบ ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ท่านที่จะบริจาคเป็นไร่ ๆละ 120,000 บาท หรืองานละ 30,000 บาท หรือตามกำลังศรัทธา ท่านสามารถร่วมบริจาคได้ที่ บัญชี วัดป่าศรีแสงธรรม ธ.กรุงไทย สาขาโขงเจียม 338 049 7789 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 086 233 1345 ขออนุโมทนาขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
ขอบคุณข้อมูลจากเพจพระมหาวีรพล ธรรมะอารมณ์ดี,พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ (ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย)
Leave a Reply