บทความนี้เขียนเอาไว้ เนื่องในโอกาสที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “มจร” มีอายุครบรอบ 134 ปีที่แล้ว วันนี้มายำใหม่เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันสถาบันการศึกษาทางพระพุทธศาสนาระดับโลกแห่งนี้จะมีงานใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งคืองาน ประสาทปริญญาประจำปีพุทธศักราช 2565 ระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคมนี้ สำหรับรายละเอียดของงานโดยคร่าว ๆ วันที่ 8 ภาคเช้ามีการปาฐกถาพิเศษจาก พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของ มจร ว่าวันแรกของการเข้าสู่กำหนดการรับปริญญา องค์อธิการบดีต้องปาฐกถาพิเศษ เปรียบเสมือนการแสดงวิสัยทัศน์ของท่านให้คณาจารย์ เจ้าหน้าที่และบัณฑิตได้รับทราบ พร้อมกับกล่าวต้อนรับแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ ซึ่งปีนี้กำหนดหัวข้อไว้ว่า “พุทธนวัตกรรมในยุค Disruption” ช่วงบ่ายในวันที่ 8 และ 9 ธันวาคม มีพิธีซ้อมใหญ่ ส่วนวันที่ 10 และ 11 ธันวาคม เป็นวันรับปริญญาจริง ซึ่งปีนี้ “สมเด็จพระสังฆราช” เสด็จมามอบให้เฉพาะวันแรก

ความจริงเป็นสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยของเรา เดิมมีคนที่ไม่ชอบมักบอกว่าเป็น “มหาวิทยาลัยเถื่อน” เพราะเราไม่มีพระราชบัญญัติรองรับ ทั้งหลักสูตรบางหลักสูตรจบออกไปหน่วยงานรัฐไทยที่รับรองหลักสูตรก็ไม่รับรอง อันนี้รวมถึงคณาจารย์ของเราที่จบมาจากประเทศอินเดีย ศรีลังกาด้วย
วันนี้เดินทางไปดูบรรยากาศการเตรียมงานประสาทปริญญาปีนี้ดูแล้วคึกคักว่า 2 -3 ปีที่ผ่านมา มีซุ้มวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ ซุ้มคณะแต่ละคณะเริ่มจับจองพื้นที่เตรียมการแล้ว รวมทั้งบรรดาพระนิสิตกลุ่มนานาชาติด้วยเช่นกัน สำหรับร้านค้าเริ่มจับจองพื้นที่แล้ว
ได้มีโอกาสพูดคุยกับคณาจารย์ที่รู้จัก 2 -3 รูป บอกว่า อยากให้เขียนเป็นเรื่องเล่า มจร ในอดีตกับปัจจุบันเป็นอย่างไร อยากให้คณาจารย์ได้อ่านเพื่อรำลึกถึงความหลังในยามที่ มจร ของพวกเรายังไม่มีแบบทุกวันนี้ และรวมทั้งอยากให้นิสิตรุ่นหลังได้จดจำ ได้รู้สิ่งที่รุ่นพี่ทนลำบากเรียนแบบไม่รู้ “อนาคต” ด้วยซ้ำไปว่า จบไปแล้วไปทำอะไร นอกจากได้ “ความรู้” ประดับตัวแล้วและรักษาพระพุทธศาสนา หรือจะไปประกอบ “อาชีพ” อะไรได้บ้างนอกจาก “อุรํ ทตฺวา” ก็รับปากท่านว่าหากมีเวลาจะเขียนให้เพื่อเป็น “ธรรมทาน”
หลังจากพูดคุยเสร็จตั้งใจว่าจะไปหา “เจ้าคุณโชว์” พระสุธีวีรบัณฑิต ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม อยากสอบถามว่าปีนี้ มูลนิธิร่วมกตัญญู,แม่ชีทศพรและจากมูลนิธิ จะมาถวายภัตตาหาร บริการข้าวเหมือนทุกปีหรือไม่ แต่ทราบว่าช่วงบ่ายท่านมีภารกิจภายนอกเลยไม่ได้พบกับท่าน แต่คิดว่าทั้ง 3 หน่วยงานที่ระบุไว้ข้างต้นคงมาบริการเหมือนเดิม เพราะเห็นตั้งเต็นท์กันแล้ว

กำลังเดิน ๆ อยู่เจอ “รศ.อนุภูมิ โซวเกษม” ในวัย 68 กำลังเดินอยู่ เข้าไปไหว้ทักทาย ท่านบอกว่า มารับเสื้อและเครื่องหมายงานจราจร เพราะงานประสาทปริญญาปีนี้เหมือนทุกปีคือได้รับมอบหมายให้ดูแลงานจราจร แซวท่านกลับว่า อายุมากแล้วทำไหวหรือครับอาจารย์ ท่านบอกว่าไหว พร้อมกับชวนไปที่คณะสังคมศาสตร์ ท่านบอกว่า
ตอนนี้แม้จะอายุ 68 แล้ว แต่ ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไปก็ยังเมตตาให้ช่วยงาน จึงถามต่อว่าแล้วอาจารย์เริ่มมาทำงานที่ มจร เมื่อไร ท่านจึงเล่าต่อว่า หลังจากจบมาจากประเทศอินเดียแล้ว ก็สึกออกมา “เจ้าคุณชนะ” หรือ พระศรีธวัชเมธี ชวนไปอยู่ประเทศออสเตรเลียอยู่ประมาณ 5 ปี แล้วจึงกลับมาเป็น “นักข่าว” ที่ช่อง 7 รับผิดชอบแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอยู่ 3 ปี ประมาณปี 2538 “เจ้าคุณสำรวม” อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มจร ชักชวนให้มาทำงานที่ มจร จึงเริ่มทำงานที่ มจร ซึ่ง “ผู้เขียน” ก็ตอบไปว่า “เจ้าคุณสำรวม” เคยชวนให้ทำงานที่ มจร เหมือนกัน แต่ “ปฎิเสธ” เพราะไม่ชอบระบบราชการ นอกจากนั้นก็ถามถึงลูกศิษย์รุ่นเดียวกันอีกหลายคนเท่าที่ท่านจำได้
ก่อนจากกัน รศ.อนุภูมิ โซวเกษม มอบ “พระขุนแผน” ให้มา 1 องค์ ซึ่งเราในฐานะศิษย์รู้สึกละอายใจที่ไม่มีอะไรฝากท่าน แต่ทุกครั้งที่เจอมักมีของติดไม้ติดมือจากท่านเสมอ ทำให้นึกถึงว่า อาจารย์เก่า ๆ ยุคก่อนนี้เป็นอาจารย์เป็นครูจริง ๆ ไม่ได้สอนหนังสือเพียงเพราะ “เงินเดือน” เท่านั้น แต่มีการสอบถามถึงการเป็นอยู่ของลูกศิษย์ทุกคนเท่าที่จะจำได้
การรับปริญญาปีนี้ “มจร” อยู่ในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่าน มีการเปลี่ยนแปลงระดับผู้บริหารตั้งแต่รองอธิการบดีจนถึงคณบดี แต่งานก็ยังคงเดินไปตามระบบดูแล “ไม่ขาดตกบกพร่อง” เพียงแต่ว่า คนใหม่มา คนเก่าต้องคอยประคับประคองชี้แนะเท่านั้น

เดินไปสำรวจซุ้มของพระนิสิตนานาชาติ ที่กำลังเร่งทำกันอยู่อย่างขะมักเขม้น ปีนี้กลุ่มชาติพันธุ์ดูแล้วน่าจะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็น “สีสัน” ให้ มจร. เป็นอย่างมาก บางชาติพันธุ์มีร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ซุ้มต่าง ๆ สื่อถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ตนเองดูแล้วสวยงาม มจร กลายเป็น “สังคมพหุวัฒนธรรม” อย่างแท้จริง เพราะมีนิสิตนานาชาติถึง 1,300 ท่าน มาจาก 28 ประเทศ ในประเทศไทยไม่มีใครสู้ มจร ได้เรื่องนานาชาติมาเรียน
เดินจนเหนื่อยนั่งพักมอง ตึก มวก.ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประสาทปริญญาที่ตอนนี้จัดสถานที่พร้อมแล้วทั้งภายใน ภายนอก ระบบการถ่ายสดสด ระบบไฟพร้อมแล้ว
ในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร รุ่น 46 คณะสังคมศาสตร์ เอกบริหารรัฐกิจ ภูมิใจทุกครั้งที่ได้จบจากการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายที่สถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5

“มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ในอดีตเคยถูกกีดกันสารพัด จากคนบางกลุ่ม จากผู้มีอำนาจบางคน จากพระผู้ใหญ่บางรูป ผ่านร้อนผ่านหนาวมาท่ามกลางพายุ “การเมือง” ท่ามกลางอารมณ์ “อิจฉาริษยา”
ด้วยความมุ่งมั่นและการเสียสละอุทิศตนเองอย่างแน่วแน่ของผู้บริหาร คณาจารย์ในอดีต ปัจจุบันกลับกลายพัฒนาไปจนไม่มีใครคิดว่า มหาจุฬา ฯ มาได้ขนาดนี้ พระสงฆ์ไทยที่มีคนชอบดูถูกดูแคลนว่า ไม่ทันสังคม หัวไม่ทันสมัย มองไม่พ้นกำแพงวัด แต่วันนี้ มหาจุฬา ฯ ยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง บนศาสนจักรกว่า 300 ไร่ ณ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
จนใคร ๆ ก็อยากมาขอร่วมทำงานด้วย มาร่วมเป็นเครือข่ายด้วย หรือแม้กระทั้งมีบางช่วงบางเวลา มีข่าวลือว่ามีสถาบันการศึกษาบางแห่ง “อยากควบรวม อยากมาร่วมบริหาร” ด้วย
หรือบางเวลาก็มีข่าวลือว่าหลังจากคณะสงฆ์ไทยมี พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม 2562 แล้ว อนาคตอาจจะมีการ “ก่อตั้ง” มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งใหม่ เน้นเรียนบาลี รับเฉพาะพระภิกษุ -สามเณร ศึกษาพระไตรปิฎกล้วน ๆ ก็มี

แต่ใครจะคาดคิดว่า มจร ที่เคยถูกมองว่าเป็น “มหาวิทยาลัยเถื่อน” เป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกกีดกันจากพระผู้ใหญ่บางรูป เป็นมหาวิทยาลัยที่รัฐบาลไม่รับรองวุฒิการศึกษา และเป็นอดีตมหาวิทยาลัยที่อาจารย์สอนไม่มีเงินเดือน ไม่มีใครอยากเข้ามาทำงาน เพราะไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าประจำตำแหน่ง ไม่มีห้องสมุดที่ติดแอร์ เมื่อเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่ถูกมองว่าเป็น “มหาวิทยาลัย” นอกจากความอดทน ความตั้งใจ และความเสียสละของบุรพาจารย์ยุคก่อน ๆ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กลายเป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีนิสิตที่สำเร็จการศึกษามาแล้วจำนวน 67 รุ่น แยกเป็นระดับปริญญาตรี 63,484 รูป/คน ปริญญาโท 10,154 รูป/คนและปริญญาเอก 2,537 รูป/คน รวมทั้งสิ้น 76,175 รูป /คน
เปิดการเรียนการสอนไปแล้วทั่วประเทศและทั่วโลก โดยในต่างประเทศมีสถาบันสมทบ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศฮังการี สิงคโปร์ ศรีลังกา เกาหลีใต้ และใต้หวัน
ส่วนในประเทศไทยมีวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ หน่วยวิทยบริการและโครงการขยายห้องเรียน ครอบคลุมทุกภูมิภาคใน 45 จังหวัดทั่วประเทศ เปิดการเรียนการสอนมากถึง 227 หลักสูตร เพื่อให้พระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั่วไป มีนิสิตทั้งสิ้นประมาณ 20,000 รูป/คน มีผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่มากกว่า 3,000 รูป/คน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ผลิตบุคลากรไม่เฉพาะเพื่อสนองงานคณะสงฆ์เท่านั้น ศิษย์เก่าจากสถาบันแห่งนี้กระจัดกระจายในทุกสาขาอาชีพ
เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้สร้างโอกาสทางการศึกษา ให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสก้าวสู่มหาวิทยาลัยทั่วไป รวมทั้งลูกที่ถูกทอดทิ้ง กำพร้า อนาถา ชาวเขา ก็สามารถเข้ามาศึกษาสถาบันระดับอุดมศึกษาแห่งนี้ได้
เป็นมหาวิทยาลัยของประเทศไทยแห่งเดียวที่แก้ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล เป็นมหาวิทยาลัยที่น่าจะค่าเทอมถูกที่สุด ซ้ำมีอาหารเลี้ยงอีกต่างหาก ยุคนี้ใคร ๆก็อยากมาสอนหนังสือ นานาชาติก็อยากมาเยือน
สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ หากจำไม่ผิดจ่ายค่าเทอมเพียงเทอมละประมาณ 1,700 บาท พวกเราไม่มีโอกาสนั่งรถเมล์เหมือนคนทั่วไป เพราะธรรมชาติรถเมล์เวลาเจอพระไม่ค่อยรับและยิ่งรถเมล์ที่มีแอร์ยิ่งไม่อยากรับ พระนิสิตรุ่นผู้เขียนสมัยนั้นต้องนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงที่ท่ารถไฟข้าง ๆ โรงพยาบาลศิริราช มีรถเมล์เก่า ๆ สีเหลืองอยู่ 2 คัน จะมาค่อยรับส่งพระนิสิตที่ท่าเรือแห่งนี้ ไปเรียน ณ “ศูนย์วัดศรีสุดาราม” เมื่อถึงเวลาค่ำ ๆ ก็นั่งรถกระเป๊าะคันเล็ก ๆ กลับมายังท่าเรือแห่งนี้และอาศัย “เรือด่วนเจ้าพระยาฟรี” เพื่อกลับวัด
ยุคสมัยนั้น “หลักสูตรรัฐศาสตร์” ของ มจร ยังไม่ถูกรับรองจากรัฐบาล มักมีรุ่นพี่มาเล่าประสบการณ์ไปทะเลาะกับคนสำนักงาน ก.พ.ประจำ เพราะบางคนสึกออกไปแล้วไปสอบปลัดอำเภอบ้าง สอบเข้าราชการบ้าง “สาขารัฐศาสตร์” บางคนสอบติดแต่เวลาตรวจสอบวุฒิการศึกษาปรากฎว่า “หลักสูตร กพ.ไม่รับรอง” หน่วยงานรัฐก็ไม่สามารถรับเข้าทำงานได้ ถึงจะเก่งและมีความรู้ก็ตาม
หรือแม้กระทั้งพระอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของเราที่จบมาจาก ประเทศอินเดียหรือศรีลังกา ก็มักจะโดนดูถูกดูแคลนจากหน่วยงานของรัฐบางหน่วยงานว่า “ด้อยคุณภาพ” ไม่รับรองวุฒิให้ จะเข้าสมัครมหาวิทยาลัยที่พอมีเงินเดือนดีบ้างก็เปรียบเสมือนชีวิตพระภิกษุ-สามเณรจากต่างจังหวัดเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน จะหาวัดอยู่เรียนหนังสือในกรุงเทพ “ห้องว่างแต่เจ้าอาวาสไม่ให้อยู่” ประมาณนั้น
จนเมื่อปี พ.ศ.2540 มหาวิทยาลัยได้รับการรับรองและมีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเป็นของตนเอง ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลและเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และนับตั้งแต่นั้นมา “มหาวิทยาลัยสงฆ์” แห่งนี้ก็เหมือน “พยัคฆ์ติดปีก” มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เกิดสถาบันภาษา, วิทยาลัยพระธรรมทูต, ศูนย์อาเซียนศึกษา, สถาบันวิปัสสนา, วิทยาลัยพุทธศาสนานานาชาติและอีกหลายหลายองค์กรที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มีพระธรรมทูตที่เป็นผลผลิตจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ออกเผยแผ่พุทธศาสนากระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคทั้งในยุโรป อเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย พูดง่าย ๆ ไม่มีพระธรรมทูตคนไหน ไม่เคยผ่านการฝึกอบรมจาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เว้น “คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย” และที่สำคัญปัจจุบันพระนิสิตที่จบจากสถาบันแห่งนี้ มีทุกระดับชั้นไม่เว้นแม้กระทั้ง “กรรมการมหาเถรสมาคม”
สถาบันการศึกษาอันทรงเกียรตินี้ผ่านการอุทิศและการเสียสละของพระเถระผู้ใหญ่มาแล้วรุ่นต่อรุ่น รวมทั้งคณาจารย์ยุคที่ไม่มีเงินเดือน บางท่านไม่มีเงินเดือนไม่พอ ยังต้องหาเงินจากภายนอกมาช่วยสนับสนุนด้วย ตอนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว 135 ปี แกร่งขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น และถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ผู้เขียนในฐานะศิษย์เก่าขอแสดงความยินดีและขอขอบคุณผู้บริหารทุกท่านที่ “ผลิตพวกเราออกมา” จนกล้าประกาศเลยว่า “พวกเรามีดีและมีองค์ความรู้ไม่แพ้สถาบันใด ๆ ” ในประเทศนี้ รวมทั้งขอแสดงความยินดีกับศิษย์รุ่นน้องที่จะเข้ารับปริญญาในวันที่ 10-11 ธันวาคมนี้ทุกรูป ทุกท่าน ส่วนหลังจบแล้วจะรับใช้พระพุทธศาสนาหรือจะลาสิกขาก็ไม่มีใครว่า เพราะในโลกข้างนอก “ความรู้และคุณธรรม” ที่เราได้รับมาจากสถาบันแห่งนี้ “คุ้มกะลาหัว” ได้เป็นอย่างดี
งานรับปริญญายุคผู้เขียน..พวกเราไปรับปริญญากันที่ หอประชุมพุทธมณฑล โดยมี “สมเด็จพระสังฆราช” เสด็จไปมอบให้ ซึ่งโดยปกติงานมอบปริญญาแบบนี้ “สังฆบิดร” ต้องให้ความสำคัญ เพราะแสดงถึงความใกล้ชิดและการผูกมิตรซึ่งกันและกัน ปีหนึ่งมีหนเดียว


Leave a Reply