แม้มาแรงก็..อย่าหวั่นไหว!!

 กระแสข่าวพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์และวัดบางวัด ในตอนนี้ ต้องยอมรับว่า “ลมพัดแรง” ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนา “สั่นคลอน” ได้ โดยเฉพาะความ “ศรัทธา” ของชาวพุทธที่มีต่อพระภิกษุสงฆ์

ผู้เขียน” มองเรื่องเหล่านี้เป็นปกติธรรมดา เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรม “ส่วนบุคคล” และเรื่องเหล่านี้ อย่าแต่ยุคที่มนุษย์มุ่ง “สะสมกิเลส” ดังเช่นปัจจุบันเลย แม้แต่ยุค “พุทธกาล” สถานการณ์หนักกว่านี้ก็เคยมีมาแล้ว หากไม่เชื่อชาวพุทธก็ลองไปเปิดอ่านพระวินัยปิฎกดู

สถานการณ์ข่าวคราวบางข่าว บางเรื่องหากพิจารณาให้ดี ๆ  มี “ผลประโยชน์” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่อง “เงินทอง” 

เดียวนี้มักมีกลุ่มบุคคลร่วมมือพระภิกษุบางรูป “ทำการตลาด” ประชาสัมพันธ์ให้ชาวพุทธหลงเชื่อว่า พระรูปนี้ รูปนั่น พระฉัน เป็นพระดี พระเคร่ง พระตรง พระแท้  บางรูปบวชพรรษาเพียงไม่กี่พรรษา อยากเด่น อยากดัง อยากมีหน้าตา และกลุ่มนี้สังเกตดี ๆ เถอะ มักปั้นพระที่มีรูปร่างหน้าตาดี เหมือน “แมวมอง” ปั้นดาราอย่างไรอย่างนั้น

กินเที่ยวด้วยกัน แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่อยู่ภายใต้อาณัติวัดใดวัดหนึ่ง ออกไปตั้งสำนัก ออกไปอยู่ห่างสายตาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อสะดวกในการหาผลประโยชน์ และจัดสรรประโยชน์ร่วมกัน

สุดท้ายเวลา “ขัดผลประโยชน์”  ก็ทะเลาะเบาะแว้ง ฟ้องร้อง จนเป็นข่าวใหญ่โต

ผลกรรมตกอยู่กับคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ และ พระพุทธศาสนา   

“ชาวพุทธ” ประเทศไทยบางคน บางกลุ่ม  ต้องการพระสงฆ์ให้ อยู่กรอบในกรง “อยากควบคุมพระสงฆ์ อยากควบคุมวัด” เหมือนท่านเหล่านั้นเป็นนักโทษ เป็นคนรับใช้ อย่างไรอย่างนั่น

ต่างจาก ประเทศพม่า เขมร ลาว  ชาวพุทธที่นั่นมองพระสงฆ์ด้วยความเคารพ มองด้วยความศรัทธา “ชาวพุทธ” บ้านเขาทำหน้าที่ของความเป็นชาวพุทธที่ดี พระเณรจะเตะบอล พระเณรจะเตะตะกล้อ มันก็คือ เรืองของพระที่ออกกำลังกายบ้าง ไม่เห็นจะเป็นปะไร!!

ประเทศไทยเห็นแค่ สามเณรเตะบอล เห็นแค่พระเดินห้าง..รับไม่ได้ ในขณะที่ตนเองจิบเบียร์ เล่นการพนัน ดูแล้ว “สังเวช” ดี

“ผู้เขียน” เคยอยู่จำพรรษาที่ประเทศพม่า ที่นั่น พระเณรจะเตะบอลเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ไม่เห็นแปลก พระเณรจะนั่งมอเตอร์ไซต์ ขับรถ ปั่นจักรยาน เป็นเรื่องปกติมาก

เคยไปมัณฑะเลย์ หลายครั้ง ที่นั้นเป็นเมือง “ตักกศิลา” ประเทศพม่า มีพระเรียนบาลีกันมาก ตอนเย็น ๆ  พระไปนั่งดูบอล จิบน้ำชา ร่วมกันฆราวาส ถือว่าไม่มีอะไร ซ้ำบางร้านเห็นพระจิบน้ำชา กินน้ำตาลก้อน มีสตรีนั่งเป็นคู่สนทนา..ถือว่าเป็นธรรมชาติของพระภิกษุสงฆ์และสังคมชาวพุทธพม่าที่นั้น

และบอก “ชาวพุทธ” ไทยให้รู้ด้วยว่า ชาวพุทธพม่า ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมมากกว่าประเทศไทยมาก ชาวพุทธไทยดีแต่ “ถวายเงิน”  แต่ที่นั้น “ก้าวหน้า” กว่าพุทธไทยคือ ตั้งมั่นอยู่ในศีลและภาวนา

ทุกวันนี้ “เจ้าอาวาส” ต่างจังหวัดบางวัด มีแต่รถจอด นิ่งอยู่ภายในวัด เพราะหาคนขับรถไม่ได้ จะจ้างรายเดือนก็ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง จะจ้างเป็นรายวันหรือแต่ละครั้งอย่างน้อยครั้งละไม่ต่ำกว่า 300 บาท

ถามว่า..พระบ้านนอกจะเอาเงินที่ไหนจ่าย ค่าไฟ ค่าน้ำ บางวัดแทบไม่มีจ่าย บางวัดมีกรรมการคุมจะใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง..ต้องไปขอกรรมการวัด เหมือนกับขอทาน.

“ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันใดที่เราตถาคตแสดงแล้ว และบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว นี่คือพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบพระอานนท์ ผู้ซึ่งได้ทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วใครจักเป็นศาสดา ของข้าพระองค์ทั้งหลาย”

โดยนัยแห่งพระพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า พระพุทธองค์มิได้มีพระประสงค์แต่งตั้งพระสาวกรูปหนึ่งรูปใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้สาวกของพระองค์ยึดถือคำสอนทั้งในส่วนของพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาแทน หลังจากที่พระองค์ได้ดับขันธปรินิพพานแล้ว

ดังนั้น พุทธบริษัททั้ง 4 ซึ่งมี “หน้าที่” ในการรักษาพระพุทธศาสนา จึงต้องร่วมมือ ร่วมใจ ปกป้อง รักษา และสืบทอด “พระธรรมวินัย” ของพระพุทธองค์ เพื่อธำรงรักษาเอาไว้ให้อยู่ตราบนานเท่านาน

หลายปีมานี้ปัญหาพฤติกรรมของพระสงฆ์ “อาจดู” ขัดหูขัดตาชาวพุทธจำนวนมากไปบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ “เคยเกิด” ขึ้นมาแล้วในยุคพุทธกาล และอนาคตมันก็คงอยู่ต่อไปอีกต่อเนื่อง

สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ “อย่าทิ้งวัด” อย่าทิ้ง “พระธรรมวินัย” อย่าหวั่นไหวที่จะนับถือ “พระภิกษุสงฆ์” หรือพระพุทธศาสนา

พระคุณเจ้าท่านทำผิดท่านก็ต้องรับผิดตาม “กฎแห่งกรรม”และ “กฎหมายบ้านเมือง” พวกเราในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดี..ต้องรักษาพระธรรมวินัย  ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม

มิใช่ด่าพระ ไปต่อว่าพระเพื่อให้ตนเองมี “พื้นที่สื่อ” เพื่อให้ตนเองเป็นข่าว เพื่อให้ตนเองมีที่ยืนใน “สังคมบันเทิง” กลายเป็น “การสร้างบาป” ให้ตนเองผ่าน “วจีกรรม” โดยไม่สมควร

ช่วงหนาว ๆ แบบนี้ แม้ลมจะพัดแรง แม้จะมีข่าวไม่ดีของพระภิกษุสงฆ์มาก ชาวพุทธก็ต้องตั้ง “สติ” ให้มั่น อย่าหวั่นไหว!!

Leave a Reply