วันที่ 2 ก.พ. 66 @ พระกะเทย : ปัจจัยที่คณะสงฆ์จะต้องนำมาพิจารณา ?
ต้องบอกย้ำอีกทีนะครับว่า ผมไม่ได้มีอคติกับ “พระกะเทยหรือเณรกะเทย”แต่อย่างใดในการกล่าวถึงเรื่องของพระเณรกะเทยในสังคมไทยบ้านเราผมจะอ้างอิงหลักการสำคัญจากพระไตรปิฎกเป็นหลักเพราะผมคิดว่า พระพุทธศาสนา-คณะสงฆ์ในสังคมไทยเราล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยการยึด “หลักพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ”และพระธรรมวินัยนั้นก็คือธรรมนูญของ“ภิกษุภาวะ”ของทั้งพระและสามเณรในสังคมบ้านเรานี้เนื่องมาจากว่าเราท่านทั้งหลายคงทราบดีว่า คณะสงฆ์บ้านเรานั้นเป็นคณะสงฆ์ฝ่าย “เถรวาท” ไม่ใช่คณะสงฆ์ฝ่ายมหายาน
ดังนั้น “อัตลักษณ์ของฝ่ายเถรวาทของเรามันจึงอยู่ที่ การที่คณะสงฆ์ไทยเราปฏฺบัติให้คล้อยตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก” และเราท่านทั้งหลายต่างก็ทราบดีว่า ในหลักพระธรรมวินัยนั้นได้ระบุเอาไว้ชัดเจนครับว่า (๑) กะเทยเป็นอภัพพบุคคล ก็คือบุคคลที่ไม่สมควรให้บวช และ (๒) กะเทยเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า กะเทยไม่สมควรบวชหรือไม่มีคุณสมบัติที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้ โดยทรงตรัสเอาไว้ชัดเจนครับว่า “ที่ยังไม่บวชห้ามบวช แต่ที่บวชแล้วก็ให้สึกไปเสีย”(วิ.ม.(ไทย)๔/๑๐๙/๑๗๓)
ซึ่งจะว่าไปแล้วพระเณรกะเทยนั้นแม้บวชมาก็ถือว่ามีภาวะที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเมื่อถูกพระอนุสาวนาจารย์ถามอันตรายิกธรรมข้อที่ว่า “ปุริโสสิ๊” แปลว่า “คุณเป็นผู้ชาย เป็นแมนใช่ไหม ? ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าตัวเองนั้นเป็น “บัณเฑาะก์” หรือกะเทยแต่ไปตอบว่า “อามะ ภันเต” ที่แปลว่า ถูกต้องครับผมเป็นผู้ชาย เมื่อนั้นแหละมันก็เท่ากับว่า “คุณผู้ที่กำลังบวชนั้นได้กล่าวมุสาไปเต็มๆซึ่งก็เท่ากับเป็นการโกหกพระประธานในโบสถ์แบบเต็มๆเลยทีเดียว
แต่เรื่องแบบนี้มีใครนำมาพูดกันไหมครับ คำตอบก็คือ ไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครนำมาพูดหรือนำมากล่าวถึง โดยเฉพาะคณะสงฆ์โดยรวมจะไม่นิยมนำเรื่องแนวนี้มาพูดเพราะมันจะกระทบกับพระอีกหลายรูป ซึ่งมันก็จะรวมไปถึง “พระผู้ใหญ่อีกหลายรูปด้วย”ที่จะต้องโดนร่างแหนี้ไปด้วย เพราะท่านหลายรูปนั้นก็เป็นที่ทราบกันว่า “ท่านเป็นกระเทย” และถามว่าท่านเหล่านั้นรู้หรือไม่ว่าตนเองเป็นกะเทย คำตอบก็คือ รู้ครับและไม่ใช่แต่เพียงท่านเท่านั้นที่รู้ บรรดาญาติโยมก็รู้ดูออกว่าท่านเป็นกะเทย แต่ญาติโยมจะไม่ค่อยไปติดใจกับความเป็นกะเทยหรือไม่เป็นกะเทยของท่าน เพราะท่านยังไม่ได้ทำความผิดอะไร ในทางกลับกันบรรดาญาติโยมทั้งหลายกลับชอบพระกะเทยเหล่านั้นด้วยเพราะเป็นพระที่พูดเพราะมีฝีมือในทางการตกแต่งสามารถที่จะช่วยเหลืองานวัดได้เกือบทุกอย่าง
ต่อเมื่อท่านเหล่านั้น “กระทำความผิด เช่นไปเที่ยวมีสัมพันธ์ทางเพศกับพระด้วยกันจนเกิดเป็นความรักหึงหวงกันขึ้นในวัดมีการตบตีแย่งชิงคู่ครองกันโน่นแหละญาติโยมถึงจะพากันตาสว่างกัน แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายครั้งที่เกิดเหตุขึ้นก็จะมีการปกปิดข่าวและจบเรื่องนั้นๆไปพอเรื่องจบทุกฝ่ายก็ไม่คิดอะไรต่อ อันนี้ก็คือภาพลักษณ์ของเรื่องกะเทยในสังคมสงฆ์บ้านเรา
อย่างไรก็ตามเราจะพบว่าเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ให้กะเทยบวชนั้นก็เพราะ “พฤติกรรมของกะเทยที่เกิดมาจากแรงขับหรือแรงผลักดันที่กะเทยมีกัน กล่าวคือ กะเทยไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นโยมสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นอัตลักษณ์ของบรรดากะเทยก็คือ การมีอิตถีภาวะหรือความเป็นหญิงในร่างของผู้ชาย เมื่อมีอิตถีภาวะมากก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า “ชอบผู้ชาย”เมื่อเห็นผู้ชายที่หล่อๆหน้าตาดีๆผ่านมาก็จะอดที่จะแสดงออกในกิริยาอาการแบบผู้หญิงไม่ได้ เช่น สะดีดสะดิ้ง กรี๊ดกร๊าด แซวผู้ชาย ซึ่งลักษณะอาการแบบนั้นถือว่ามันเป็นกิริยาอาการที่ขัดต่อ “พระธรรมวินัย” ดังนั้น เพราะความที่กะเทยมีพฤติกรรมอาการดังกล่าวที่เป็นไปตาม “ภาวะทางเพศของตนเอง”แบบนั้นพระพุทธองค์ก็เลยไม่ทรงอนุญาตให้กะเทยเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ผมว่าหากเราชาวพุทธทำความเข้าใจในเรื่องแบบนี้ได้ โดยยึดเอาพระธรรมวินัยมาเป็นหลักการสำคัญสำหรับตัดสินเรื่องที่มันเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาแบบตรงไปตรงมา ผมว่าทุกท่านก็สามารถที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ไม่ยาก และจะได้ไม่มามีปัญหาทางความรู้สึกและเที่ยวไปตั้งคำถามว่า “การที่พระพุทธศาสนาไม่อนุญาตให้กะเทยบวชนั้นจัดว่าเป็นการกีดกันทางเพศหรือไม่” ซึ่งคำถามแนวนี้ถือว่าเป็นคำถามที่คนเกิดคำถามจะต้องหันเข้ามาศึกษาหลักการของพระธรรมวินัยฝให้มากขึ้น เมื่อศึกษาอย่างถ้วนถี่แล้วก็จะสามารถทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ
ที่มา : Naga King
Leave a Reply