“ผู้เขียน” ขอแสดงความยินดีกับศิษยานุศิษย์วัดสามพระยาและชาวพุทธทั่วประเทศด้วยที่วันนี้ “ในหลวง” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนา “พระมหาเอื้อน อาสธมฺโม” ให้กลับสู่ราชทินนามเดิมคือ “พระพรหมดิลก” หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานทางใจมาหลายปี จนไม่กล้าออกหน้าสู้ “ผู้คน”
“ผู้เขียน” ตอนเรียนปริญญาโท ทำวิทยานิพนธ์ชื่อ “การเมืองว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์ : ศึกษากรณีอธิกรณ์อดีตพระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถร)”สรุปสาระสำคัญของการติดคุกของอดีตพระพิมลธรรมมี 3 ประการคือ หนึ่ง เกิดความขัดแย้งระหว่างคณะสงฆ์มหานิกายและคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สอง ความขัดแย้งระหว่างคณะสงฆ์มหานิกายด้วยกันเอง และ สาม ผู้นำยุคนั้น คือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ต้องการควบคุมอำนาจเป็นเบ็ดเสร็จ มีความเชื่อว่าอดีตพระพิมลธรรมฝักใฝ่การเมือง ทั้ง เชื่อใจพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายตรงข้ามอดีตพระพิมลธรรมที่บอกว่าอดีตพระพิมลธรรมฝักใฝ่การเมือง สร้างความแตกแยกในคณะสงฆ์ ใช้อำนาจรัฐเข้าไปตั้งข้อกล่าวหาและจับติดคุก

ซึ่งปมเหล่านี้ลักษณะคล้ายกับคดีของพระพรหมดิลกหรือพระมหาเอื้อน อาสธมฺโม ถูกตั้งข้อกล่าวหาและจับยัดใส่คุก แต่ยุคปัจจุบันปมปัญหาหลักที่ “พระพรหมดิลก” ถูกตั้งข้อกล่าวหามิได้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายเป็นหลัก แต่เชื่อว่า เกิดจาก “การเมือง” ว่าด้วยเรืองสี และบางคนอาจเชื่อโดยสนิทใจว่ามี “ต่างศาสนา” เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดกล้าถวายสมณศักดิ์คืนให้แล้ว เสมือนไม่เคยถูกถอดถอนมาก่อน ร่วมทั้งวันนี้ ( วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2566) สำนักข่าวศิลปวัฒนธรรรม ในเครือมติชนได้ลง บทความของ พระมหาอิสระ ญาณิสฺสโร (ชัยภักดี) ที่พูดถึง “วิถีพระพิมลธรรม โดนขัง 5 ปีคดีคอมมิวนิสต์-ความมั่นคง สู่ศาลทหารยกฟ้อง ชี้ว่าบริสุทธิ์” ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีความเกี่ยวพันระหว่างอาณาจักรและพุทธจักร กรณีของ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) พระมหาเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร ถูกจับกุมข้อกล่าวหาว่ากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ขณะกำลังดำรงภาวะเป็นพระภิกษุ
คณะตำรวจผู้จับกุมนำโดย พ.ต.อ. เอื้อ เอมมะปาน อ้างว่าได้รับคำสั่งทางวาจาจาก ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปคุมขังที่สันติบาล ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนมากเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ จอมพล สฤษดิ์เป็นผู้เหี้ยมโหด จับสึกพระมหาเถระผู้ใหญ่เพียงเพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง ทำให้เป็นตราบาปของ จอมพล สฤษดิ์ตราบจนถึงทุกวันนี้
หากมีการเอ่ยถึงพระพิมลธรรม ต้องมีการพูดชื่อถึง จอมพล สฤษดิ์ในฐานะผู้กระชากผ้ากาสาวพัสตร์และยัดข้อหาคอมมิวนิสต์จนนำไปสู่การคุมขังพระพิมลธรรมที่สันติบาลเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่ศาลทหารจะมีคำพิพากษาให้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์นี้มีเงื่อนงำที่ซับซ้อนอยู่มาก ขนาดที่ตัวพระพิมลธรรมเองยังไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ทำเพราะได้รับข้อมูลยุยงจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อตน ดังที่พระพิมลธรรมได้บันทึกไว้ว่า

“เหตุการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วมานั้น มีบุคคลจำพวกหนึ่งสำคัญผิดไปว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากคณะรัฐบาลไทยเองซึ่งขณะนั้นเป็นโอกาสของรัฐบาลของ ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ตามที่เป็นจริงนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ที่ปรากฏออกมาให้คนภายนอกทราบโดยมากนั้น เป็นเพราะรัฐบาลต้องปฏิบัติตามหน้าที่ คือเมื่อมีผู้นำเรื่องขึ้นไปร้องเรียนว่าจะเป็นภัยแก่ประเทศแล้ว รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง จำจะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันประเทศให้เข้าไปสอบสวนหรือจับกุมคุมขัง แล้วแต่กรณี”
จากบันทึกนี้ทำให้บ่งชี้ได้ว่าพระพิมลธรรมนั้นเชื่อว่ารัฐบาลถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ประสงค์ร้ายในการจัดการตนเอง ได้แก่กลุ่มพระสงฆ์ระดับสังฆมนตรี ดังที่ท่านบันทึกเหตุที่ข้าพเจ้าถูกจับกุมคุมขัง [3] ว่า
“การที่ข้าพเจ้าถูกปลดจากตำแหน่งและถูกถอดถอนจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2503 มาแล้วนั้น ไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลของชาติ หรือองค์พระมหากษัตริย์ของประเทศ แต่เกิดจากคณะสังฆมนตรีของสงฆ์ไทยโดยตรง”
ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2503 พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนธรรมทางเวจมรรค และทำอัชฌาจารปล่อยสุกกะกับอดีตสามเณรและเด็กวัดที่เป็นลูกศิษย์ ซึ่งสมัครสอบเป็นพลตำรวจอยู่ในกรมตำรวจ พร้อมทั้งทางตำรวจได้นำเด็กนั้นมาเป็นพยาน เป็นเหตุให้พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุน) ถึงสีลวิบัติขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่สมควรที่จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตสืบต่อไปได้ ถูกพระบัญชาให้ออกจากตำแหน่งการปกครองทั้งปวง ถูกร้องให้ถอดถอนออกจากสมณศักดิ์ ทำให้พระพิมลธรรมต้องฟ้องศาลยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นี้เป็นปฐมบทแห่งมหากาพย์การต่อสู้ของพระพิมลธรรมในครั้งนี้

ต่อจากนั้นมา 3 เดือน นายวีรยุทธ์ วัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญที่ให้การแก่ตำรวจในการกล่าวหาพระพิมลธรรมก็ได้สารภาพผิดต่อหน้าศาลยุติธรรมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง และเพื่อรับบาปกรรมที่กระทำผิดไปแล้ว ตามวิธีการทางศาสนา ข้าพเจ้าได้กราบขมาโทษและขออโหสิกรรมแด่พระเดชพระคุณท่านต่อหน้าศาลแล้ว
จึงขอโฆษณา ณ ที่นี้ว่า พระเดชพระคุณพระอาจ อาสโภ มิได้เคยประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบทเป็นศีลวิบัติ ดังที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวใส่ร้ายพระเดชพระคุณท่านแต่ประการใด ขออานุภาพแห่งการสำนึกผิดครั้งนี้ จงดลบันดาลให้จิตใจข้าพเจ้ามีแต่ความผ่องแผ้ว พ้นจากความหม่นหมองอันตามบีบคั้นจิตใจข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้เทอญ”
เหตุการณ์นี้เป็นชัยชนะครั้งแรกในการแสดงความบริสุทธิ์ของพระพิมลธรรม แต่วิบากกรรมของท่านยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ต่อมาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นำไปสู่การบังคับสึกในที่สุด
วันที่ 20 เมษายน 2505 เวลาบ่าย ประมาณ 13.30 น. ขณะที่พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กำลังนั่งสนทนากับญาติโยมที่มาเยี่ยมอยู่นั้น ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นจับกุมพระพิมลธรรมโดยข้อหาว่า “มีการกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐและกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐบาลภายในราชอาณาจักร” อันเป็นความผิดอาญามีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต จากนั้นได้นำท่านไปคุมขังไว้ที่สันติบาล
ต่อมาในเวลา 20.15 น. กรมตำรวจก็ได้แถลงการณ์นำออกประกาศทางวิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ถึงสาเหตุที่จับกุมอดีตพระพิมลธรรมในครั้งนี้ ต่อจากนั้นตำรวจได้นิมนต์พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดพระนคร วัดสามพระยา และพระธรรมมหาวีรานุวัตร วัดไตรมิตรวิทยาราม มาสึกพระมหาอาจ เมื่อพระสังฆาธิการทั้ง 2 รูปมาถึง หลังจากที่สนทนาเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว พระพิมลธรรมได้เขียน หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมมีใจความว่า
“กระผมขอเรียนด้วยความเคารพว่า ถ้าท่านเจ้าคุณก็ดี หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ขึ้นไปก็ดี ไม่มีเมตตากรุณาให้ความเป็นธรรมแก่กระผมตามที่ได้ขอความกรุณาแล้ว กระผมก็จะขอความกรุณาอีก คือไม่ยอมสึกตามข้อบังคับอันมิชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมายนั้น จะยอมเอาชีวิตบูชาพระรัตนตรัยไปจนถึงที่สุด ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดลุอำนาจเข้ามาแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากร่างกายของกระผมแล้วไซร้ กระผมจะถือว่าผู้นั้นแย่งชิงเอาโดยผิดศีลธรรม และกระผมจะยังปฏิญาณเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดไป
ถึงแม้จะมีผู้มีใจโหดร้ายทารุณแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ของกระผมไป กระผมก็จะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ชุดอื่นแทน ซึ่งกระผมมีสิทธิตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย จึงขอให้ท่านเจ้าคุณผู้รู้เห็นอยู่ ณ ที่นี้ โปรดทราบและเป็นสักขีพยานให้แก่กระผม ตามคำปฏิญญานี้ด้วย”
เมื่อถึงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 21 เมษายน 2505 หลังจากที่พระสังฆาธิการทั้ง 2 รูป ได้รับหนังสือไว้แล้ว พระธรรมมหาวีรานุวัตร มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่จึงได้ปลอบว่า “ขอให้ปฎิบัติตามด้วยดีเยี่ยงนักปราชญ์เหมือนอย่างที่เจ้าคุณใหญ่เคยปฏิบัติมาแล้ว เอาไปสู้คดีดาบหน้า ซึ่งหวังว่าเจ้าคุณใหญ่คงมีสติปัญญาเพียงพออยู่แล้ว”
จากนั้น พระธรรมคุณาภรณ์ยกมือขึ้นไหว้พระพิมลธรรมแล้วพูดว่า “ผมขอผ้าเหลืองก็แล้วกัน” แล้วจึงค่อยๆ ปลดเปลื้องจีวรส่วนบน ส่วนพระธรรมมหาวีรานุวัตรเข้ามากราบที่ตักพระพิมลธรรมพร้อมช่วยเปลืองผ้าเหลืองส่วนล่างเพื่อเป็นการนำให้ตำรวจในการที่จะเปลื้องผ้าเหลืองออก ขณะที่ตัวอดีตพระพิมลธรรมอยู่ในกิริยาอาการนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้นวม หลับตา มือนับลูกประคำ ใจเจริญพระพุทธคุณ 108 บทด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว
นี้เป็นวิบากกกรรมที่ต้องเผชิญอยู่ในที่คุมขังถึงระยะเวลา 5 ปี และในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่นั้น นายอาจ ดวงมาลา (ตามที่เจ้าหน้าที่เรียก) ได้ประกาศความเป็นสมณสัญญาอยู่ คือ จะทำทุกอิริยาบถเหมือนเดิม เหมือนเป็นพระภิกษุทุกประการ เช่น การฉันอาหาร ต้องให้ตำรวจช่วยประเคน เป็นต้น เพราะถือว่าตนนั้นมิได้สึกแต่ประการใด เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบผ้าที่ครองเท่านั้น แม้ความเป็นพระก็ไม่ได้อยู่ที่ผ้า แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
เหตุการณ์ที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ยิ่งทำให้อดีตพระพิมลธรรมกลับได้รับความศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณถึงการต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตน มีคณะศิษย์ไปเยี่ยมมากมายมิได้ขาด จนสันติบาลอันเป็นสถานที่ถูกคุมขังได้รับการขนานนามว่า “สันติปาลาราม” เสมือนเป็นวัด ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ในสันติบาลนั้น ก็ได้เขียนหนังสือสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ
สาเหตุที่อดีตพระพิมลธรรมเชื่อว่า จอมพล สฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีมิได้เป็นตัวการในการจับสึกในครั้งนี้ เพราะว่าเบื้องต้นที่มีการกล่าวหาพระพิมลธรรมจนเกิดเป็นกระแสข่าวไปทั่วเมือง รัฐบาลได้แสดงเจตนาและนโยบายว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์จัดการกันเอง ดังแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี มีใจความตอนหนึ่งว่า
“รัฐบาลจึงจำกัดหน้าที่ของตนเพียงให้ความร่วมมือแก่คณะสงฆ์ คือเมื่อคณะสังฆมนตรีต้องการพยานหลักฐาน ก็หาส่งให้เท่าที่จะหาได้ คณะสังฆมนตรีจะพิจารณาหรือดำเนินการอย่างไร รัฐบาลไม่เคยเข้าไปสอดแทรก แต่รัฐบาลก็ต้องระมัดระวังในเรื่องความไม่สงบและความปลอดภัย เพราะมีพฤติการณ์บางอย่างที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังเช่นนั้น รัฐบาลไม่เคยแสดงต่อสาธารณะว่า รัฐมีความคิดเห็นเป็นประการใด เพราะต้องให้คณะสงฆ์มีเสรีภาพสมบูรณ์ในการวินิจฉัยอธิกรณ์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นทางรัฐบาล และถ้าหากคณะสงฆ์สามารถจัดการให้เรียบร้อยไปโดยที่รัฐบาลไม่ต้องทำอะไร รัฐบาลก็จะสาธุอนุโมทนาอย่างยิ่ง”
นอกจากนี้พระพิมลธรรมยังเคยเขียนหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขอความเป็นธรรม ชี้แจง และขอความอารักขา เป็นต้น
แต่ภายหลังรัฐบาลมีท่าทีเปลี่ยนไป ขัดต่อเจตนารมณ์ที่แสดงไว้ชัดในครั้งแรก เช่น มีการถวายบังคมทูลถอดสมณศักดิ์ต่อราชเลขาธิการ เป็นต้น นอกจากนั้นท่าทีของ จอมพล สฤษดิ์ก็มีทีท่าเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวพร้อมทั้งเปิดเผยรูปภาพพระพิมลธรรมนุ่งกางเกง สวมหมวก ใส่แว่นดำ ในชุดที่ลงไปชมเหมืองว่า “รูปนี้ก็ขาดจาก (ความเป็น) พระภิกษุสงฆ์แล้วไม่ใช่หรือ?”
แต่ความจริงแล้วเมื่อ พ.ศ. 2501 คณะสงฆ์ไทยได้เลือกพระพิมลธรรมเดินทางไปประชุมขบวนการส่งเสริมศีลธรรม ที่เรียกกันว่า “ขบวนการ เอ็ม.อาร์.เอ.” ที่สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังได้เดินทางต่อไปอีกหลายประเทศ รวมทั้งเยอรมนี ซึ่งที่เมืองรัวส์ รัฐเอสเสน พระพิมลธรรมพร้อมด้วยผู้ติดตาม มี นายเสริม สุขสม ผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมนีตะวันตก นายวิรัช บุญประสิทธิ์ และ พระมหามนัส พวงลำเจียก ได้รับเชิญให้ลงไปชมเหมืองถ่านหิน ซึ่งทุกคนที่ลงไปจะต้องแต่งชุดป้องกันฝุ่นพิษ พระพิมลธรรมจึงต้องสวดชุดของเหมืองทับผ้ากาสาวพัสตร์ไว้ รูปถ่ายในชุดของเหมืองถ่านหินนี้เอง ได้เป็นหลักฐานสำคัญในการฟ้องพระพิมลธรรมในเวลาต่อมา
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พระพิมลธรรมเชื่อว่าต้องมีผู้คอยยุยง จอมพล สฤษดิ์เป็นแน่ แต่ภายหลังนั้นหลังจากที่มีการแสดงหลักฐานต่างๆ ถึงความบริสุทธิ์ของอดีตพระพิมลธรรมมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมของเหล่าศิษยานุศิษย์ ทำให้ จอมพล สฤษดิ์ตาสว่างขึ้น รู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ริษยากลั่นแกล้งกัน พร้อมสำนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อท่านนั้นว่าเป็นเพราะตนเองนั้นมีส่วนร่วมด้วย
จึงมีความประสงค์ที่จะไปขอขมาพร้อมทั้งช่วยเหลือ ถึงขนาดที่ท่านได้กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า “กูไม่นึกเลยว่า พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้ ให้กูหายเสียก่อน จะให้ความเป็นธรรม จะไปกราบขอขมาโทษ” แต่ความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีก็ไม่สมประสงค์ดังที่หมายไว้ เพราะในขณะนั้นตนเองป่วยจนถึงแก่อสัญกรรม ทำให้อดีตพระพิมลธรรมต้องเผชิญชะตากรรมต่อไป
หลังจากที่อดีตพระพิมลธรรมถูกขังไว้เป็นเวลาถึง 5 ปี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้นับถือพากันประท้วงร้องเรียนถึงความเป็นธรรมจนนำไปสู่การตัดสินของศาลทหาร พิพากษายกฟ้องรับรองความบริสุทธิ์ของท่าน ในวันที่ 30 สิงหาคม 2509 มีใจความว่า


Leave a Reply