การเมืองว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์จากพระพิมลธรรม “สู่” พระพรหมดิลก “ผู้เขียน” ขอแสดงความยินดีกับศิษยานุศิษย์วัดสามพระยาและชาวพุทธทั่วประเทศด้วยที่วันนี้ “ในหลวง” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนา “พระมหาเอื้อน อาสธมฺโม” ให้กลับสู่ราชทินนามเดิมคือ “พระพรหมดิลก” หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานทางใจมาหลายปี จนไม่กล้าออกหน้าสู้ “ผู้คน” “ผู้เขียน” ตอนเรียนปริญญาโท ทำวิทยานิพนธ์ชื่อ “การเมืองว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์ : ศึกษากรณีอธิกรณ์อดีตพระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถร)”สรุปสาระสำคัญของการติดคุกของอดีตพระพิมลธรรมมี 3 ประการคือ หนึ่ง เกิดความขัดแย้งระหว่างคณะสงฆ์มหานิกายและคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สอง ความขัดแย้งระหว่างคณะสงฆ์มหานิกายด้วยกันเอง และ สาม ผู้นำยุคนั้น คือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ต้องการควบคุมอำนาจเป็นเบ็ดเสร็จ มีความเชื่อว่าอดีตพระพิมลธรรมฝักใฝ่การเมือง ทั้ง เชื่อใจพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายตรงข้ามอดีตพระพิมลธรรมที่บอกว่าอดีตพระพิมลธรรมฝักใฝ่การเมือง สร้างความแตกแยกในคณะสงฆ์ ใช้อำนาจรัฐเข้าไปตั้งข้อกล่าวหาและจับติดคุก ซึ่งปมเหล่านี้ลักษณะคล้ายกับคดีของพระพรหมดิลกหรือพระมหาเอื้อน อาสธมฺโม ถูกตั้งข้อกล่าวหาและจับยัดใส่คุก แต่ยุคปัจจุบันปมปัญหาหลักที่ “พระพรหมดิลก” ถูกตั้งข้อกล่าวหามิได้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างนิกายเป็นหลัก แต่เชื่อว่า เกิดจาก “การเมือง” ว่าด้วยเรืองสี และบางคนอาจเชื่อโดยสนิทใจว่ามี “ต่างศาสนา” เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดกล้าถวายสมณศักดิ์คืนให้แล้ว เสมือนไม่เคยถูกถอดถอนมาก่อน ร่วมทั้งวันนี้ ( วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2566) สำนักข่าวศิลปวัฒนธรรรม ในเครือมติชนได้ลง บทความของ พระมหาอิสระ ญาณิสฺสโร (ชัยภักดี) ที่พูดถึง “วิถีพระพิมลธรรม โดนขัง 5 ปีคดีคอมมิวนิสต์-ความมั่นคง สู่ศาลทหารยกฟ้อง ชี้ว่าบริสุทธิ์” ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ เหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีความเกี่ยวพันระหว่างอาณาจักรและพุทธจักร กรณีของ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) พระมหาเถระระดับรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร ถูกจับกุมข้อกล่าวหาว่ากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ขณะกำลังดำรงภาวะเป็นพระภิกษุ คณะตำรวจผู้จับกุมนำโดย พ.ต.อ. เอื้อ เอมมะปาน อ้างว่าได้รับคำสั่งทางวาจาจาก ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปคุมขังที่สันติบาล ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนมากเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้ จอมพล สฤษดิ์เป็นผู้เหี้ยมโหด จับสึกพระมหาเถระผู้ใหญ่เพียงเพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง ทำให้เป็นตราบาปของ จอมพล สฤษดิ์ตราบจนถึงทุกวันนี้ หากมีการเอ่ยถึงพระพิมลธรรม ต้องมีการพูดชื่อถึง จอมพล สฤษดิ์ในฐานะผู้กระชากผ้ากาสาวพัสตร์และยัดข้อหาคอมมิวนิสต์จนนำไปสู่การคุมขังพระพิมลธรรมที่สันติบาลเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนที่ศาลทหารจะมีคำพิพากษาให้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์นี้มีเงื่อนงำที่ซับซ้อนอยู่มาก ขนาดที่ตัวพระพิมลธรรมเองยังไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ทำเพราะได้รับข้อมูลยุยงจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อตน ดังที่พระพิมลธรรมได้บันทึกไว้ว่า “เหตุการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วมานั้น มีบุคคลจำพวกหนึ่งสำคัญผิดไปว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากคณะรัฐบาลไทยเองซึ่งขณะนั้นเป็นโอกาสของรัฐบาลของ ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ตามที่เป็นจริงนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ที่ปรากฏออกมาให้คนภายนอกทราบโดยมากนั้น เป็นเพราะรัฐบาลต้องปฏิบัติตามหน้าที่ คือเมื่อมีผู้นำเรื่องขึ้นไปร้องเรียนว่าจะเป็นภัยแก่ประเทศแล้ว รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง จำจะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันประเทศให้เข้าไปสอบสวนหรือจับกุมคุมขัง แล้วแต่กรณี” จากบันทึกนี้ทำให้บ่งชี้ได้ว่าพระพิมลธรรมนั้นเชื่อว่ารัฐบาลถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ประสงค์ร้ายในการจัดการตนเอง ได้แก่กลุ่มพระสงฆ์ระดับสังฆมนตรี ดังที่ท่านบันทึกเหตุที่ข้าพเจ้าถูกจับกุมคุมขัง [3] ว่า “การที่ข้าพเจ้าถูกปลดจากตำแหน่งและถูกถอดถอนจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2503 มาแล้วนั้น ไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลของชาติ หรือองค์พระมหากษัตริย์ของประเทศ แต่เกิดจากคณะสังฆมนตรีของสงฆ์ไทยโดยตรง” ย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2503 พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนธรรมทางเวจมรรค และทำอัชฌาจารปล่อยสุกกะกับอดีตสามเณรและเด็กวัดที่เป็นลูกศิษย์ ซึ่งสมัครสอบเป็นพลตำรวจอยู่ในกรมตำรวจ พร้อมทั้งทางตำรวจได้นำเด็กนั้นมาเป็นพยาน เป็นเหตุให้พระพิมลธรรมถูกกล่าวหาว่าต้องอาบัติปฐมปาราชิก (เสพเมถุน) ถึงสีลวิบัติขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ไม่สมควรที่จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตสืบต่อไปได้ ถูกพระบัญชาให้ออกจากตำแหน่งการปกครองทั้งปวง ถูกร้องให้ถอดถอนออกจากสมณศักดิ์ ทำให้พระพิมลธรรมต้องฟ้องศาลยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นี้เป็นปฐมบทแห่งมหากาพย์การต่อสู้ของพระพิมลธรรมในครั้งนี้ ต่อจากนั้นมา 3 เดือน นายวีรยุทธ์ วัฒนานุสรณ์ ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญที่ให้การแก่ตำรวจในการกล่าวหาพระพิมลธรรมก็ได้สารภาพผิดต่อหน้าศาลยุติธรรมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง และเพื่อรับบาปกรรมที่กระทำผิดไปแล้ว ตามวิธีการทางศาสนา ข้าพเจ้าได้กราบขมาโทษและขออโหสิกรรมแด่พระเดชพระคุณท่านต่อหน้าศาลแล้ว จึงขอโฆษณา ณ ที่นี้ว่า พระเดชพระคุณพระอาจ อาสโภ มิได้เคยประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบทเป็นศีลวิบัติ ดังที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวใส่ร้ายพระเดชพระคุณท่านแต่ประการใด ขออานุภาพแห่งการสำนึกผิดครั้งนี้ จงดลบันดาลให้จิตใจข้าพเจ้ามีแต่ความผ่องแผ้ว พ้นจากความหม่นหมองอันตามบีบคั้นจิตใจข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้เทอญ” เหตุการณ์นี้เป็นชัยชนะครั้งแรกในการแสดงความบริสุทธิ์ของพระพิมลธรรม แต่วิบากกรรมของท่านยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ต่อมาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นำไปสู่การบังคับสึกในที่สุด วันที่ 20 เมษายน 2505 เวลาบ่าย ประมาณ 13.30 น. ขณะที่พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กำลังนั่งสนทนากับญาติโยมที่มาเยี่ยมอยู่นั้น ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นจับกุมพระพิมลธรรมโดยข้อหาว่า “มีการกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐและกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ และกระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐบาลภายในราชอาณาจักร” อันเป็นความผิดอาญามีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต จากนั้นได้นำท่านไปคุมขังไว้ที่สันติบาล ต่อมาในเวลา 20.15 น. กรมตำรวจก็ได้แถลงการณ์นำออกประกาศทางวิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ถึงสาเหตุที่จับกุมอดีตพระพิมลธรรมในครั้งนี้ ต่อจากนั้นตำรวจได้นิมนต์พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดพระนคร วัดสามพระยา และพระธรรมมหาวีรานุวัตร วัดไตรมิตรวิทยาราม มาสึกพระมหาอาจ เมื่อพระสังฆาธิการทั้ง 2 รูปมาถึง หลังจากที่สนทนาเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว พระพิมลธรรมได้เขียน หนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมมีใจความว่า “กระผมขอเรียนด้วยความเคารพว่า ถ้าท่านเจ้าคุณก็ดี หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ขึ้นไปก็ดี ไม่มีเมตตากรุณาให้ความเป็นธรรมแก่กระผมตามที่ได้ขอความกรุณาแล้ว กระผมก็จะขอความกรุณาอีก คือไม่ยอมสึกตามข้อบังคับอันมิชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมายนั้น จะยอมเอาชีวิตบูชาพระรัตนตรัยไปจนถึงที่สุด ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดลุอำนาจเข้ามาแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากร่างกายของกระผมแล้วไซร้ กระผมจะถือว่าผู้นั้นแย่งชิงเอาโดยผิดศีลธรรม และกระผมจะยังปฏิญาณเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดไป ถึงแม้จะมีผู้มีใจโหดร้ายทารุณแย่งชิงผ้ากาสาวพัสตร์ของกระผมไป กระผมก็จะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ชุดอื่นแทน ซึ่งกระผมมีสิทธิตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย จึงขอให้ท่านเจ้าคุณผู้รู้เห็นอยู่ ณ ที่นี้ โปรดทราบและเป็นสักขีพยานให้แก่กระผม ตามคำปฏิญญานี้ด้วย” เมื่อถึงเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 21 เมษายน 2505 หลังจากที่พระสังฆาธิการทั้ง 2 รูป ได้รับหนังสือไว้แล้ว พระธรรมมหาวีรานุวัตร มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่จึงได้ปลอบว่า “ขอให้ปฎิบัติตามด้วยดีเยี่ยงนักปราชญ์เหมือนอย่างที่เจ้าคุณใหญ่เคยปฏิบัติมาแล้ว เอาไปสู้คดีดาบหน้า ซึ่งหวังว่าเจ้าคุณใหญ่คงมีสติปัญญาเพียงพออยู่แล้ว” จากนั้น พระธรรมคุณาภรณ์ยกมือขึ้นไหว้พระพิมลธรรมแล้วพูดว่า “ผมขอผ้าเหลืองก็แล้วกัน” แล้วจึงค่อยๆ ปลดเปลื้องจีวรส่วนบน ส่วนพระธรรมมหาวีรานุวัตรเข้ามากราบที่ตักพระพิมลธรรมพร้อมช่วยเปลืองผ้าเหลืองส่วนล่างเพื่อเป็นการนำให้ตำรวจในการที่จะเปลื้องผ้าเหลืองออก ขณะที่ตัวอดีตพระพิมลธรรมอยู่ในกิริยาอาการนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้นวม หลับตา มือนับลูกประคำ ใจเจริญพระพุทธคุณ 108 บทด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว นี้เป็นวิบากกกรรมที่ต้องเผชิญอยู่ในที่คุมขังถึงระยะเวลา 5 ปี และในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่นั้น นายอาจ ดวงมาลา (ตามที่เจ้าหน้าที่เรียก) ได้ประกาศความเป็นสมณสัญญาอยู่ คือ จะทำทุกอิริยาบถเหมือนเดิม เหมือนเป็นพระภิกษุทุกประการ เช่น การฉันอาหาร ต้องให้ตำรวจช่วยประเคน เป็นต้น เพราะถือว่าตนนั้นมิได้สึกแต่ประการใด เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบผ้าที่ครองเท่านั้น แม้ความเป็นพระก็ไม่ได้อยู่ที่ผ้า แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เหตุการณ์ที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ยิ่งทำให้อดีตพระพิมลธรรมกลับได้รับความศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณถึงการต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตน มีคณะศิษย์ไปเยี่ยมมากมายมิได้ขาด จนสันติบาลอันเป็นสถานที่ถูกคุมขังได้รับการขนานนามว่า “สันติปาลาราม” เสมือนเป็นวัด ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ในสันติบาลนั้น ก็ได้เขียนหนังสือสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ สาเหตุที่อดีตพระพิมลธรรมเชื่อว่า จอมพล สฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีมิได้เป็นตัวการในการจับสึกในครั้งนี้ เพราะว่าเบื้องต้นที่มีการกล่าวหาพระพิมลธรรมจนเกิดเป็นกระแสข่าวไปทั่วเมือง รัฐบาลได้แสดงเจตนาและนโยบายว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์จัดการกันเอง ดังแถลงการณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรี มีใจความตอนหนึ่งว่า “รัฐบาลจึงจำกัดหน้าที่ของตนเพียงให้ความร่วมมือแก่คณะสงฆ์ คือเมื่อคณะสังฆมนตรีต้องการพยานหลักฐาน ก็หาส่งให้เท่าที่จะหาได้ คณะสังฆมนตรีจะพิจารณาหรือดำเนินการอย่างไร รัฐบาลไม่เคยเข้าไปสอดแทรก แต่รัฐบาลก็ต้องระมัดระวังในเรื่องความไม่สงบและความปลอดภัย เพราะมีพฤติการณ์บางอย่างที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังเช่นนั้น รัฐบาลไม่เคยแสดงต่อสาธารณะว่า รัฐมีความคิดเห็นเป็นประการใด เพราะต้องให้คณะสงฆ์มีเสรีภาพสมบูรณ์ในการวินิจฉัยอธิกรณ์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นทางรัฐบาล และถ้าหากคณะสงฆ์สามารถจัดการให้เรียบร้อยไปโดยที่รัฐบาลไม่ต้องทำอะไร รัฐบาลก็จะสาธุอนุโมทนาอย่างยิ่ง” นอกจากนี้พระพิมลธรรมยังเคยเขียนหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีตลอด ไม่ว่าจะเป็นการขอความเป็นธรรม ชี้แจง และขอความอารักขา เป็นต้น แต่ภายหลังรัฐบาลมีท่าทีเปลี่ยนไป ขัดต่อเจตนารมณ์ที่แสดงไว้ชัดในครั้งแรก เช่น มีการถวายบังคมทูลถอดสมณศักดิ์ต่อราชเลขาธิการ เป็นต้น นอกจากนั้นท่าทีของ จอมพล สฤษดิ์ก็มีทีท่าเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวพร้อมทั้งเปิดเผยรูปภาพพระพิมลธรรมนุ่งกางเกง สวมหมวก ใส่แว่นดำ ในชุดที่ลงไปชมเหมืองว่า “รูปนี้ก็ขาดจาก (ความเป็น) พระภิกษุสงฆ์แล้วไม่ใช่หรือ?” แต่ความจริงแล้วเมื่อ พ.ศ. 2501 คณะสงฆ์ไทยได้เลือกพระพิมลธรรมเดินทางไปประชุมขบวนการส่งเสริมศีลธรรม ที่เรียกกันว่า “ขบวนการ เอ็ม.อาร์.เอ.” ที่สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังได้เดินทางต่อไปอีกหลายประเทศ รวมทั้งเยอรมนี ซึ่งที่เมืองรัวส์ รัฐเอสเสน พระพิมลธรรมพร้อมด้วยผู้ติดตาม มี นายเสริม สุขสม ผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมนีตะวันตก นายวิรัช บุญประสิทธิ์ และ พระมหามนัส พวงลำเจียก ได้รับเชิญให้ลงไปชมเหมืองถ่านหิน ซึ่งทุกคนที่ลงไปจะต้องแต่งชุดป้องกันฝุ่นพิษ พระพิมลธรรมจึงต้องสวดชุดของเหมืองทับผ้ากาสาวพัสตร์ไว้ รูปถ่ายในชุดของเหมืองถ่านหินนี้เอง ได้เป็นหลักฐานสำคัญในการฟ้องพระพิมลธรรมในเวลาต่อมา เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พระพิมลธรรมเชื่อว่าต้องมีผู้คอยยุยง จอมพล สฤษดิ์เป็นแน่ แต่ภายหลังนั้นหลังจากที่มีการแสดงหลักฐานต่างๆ ถึงความบริสุทธิ์ของอดีตพระพิมลธรรมมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมของเหล่าศิษยานุศิษย์ ทำให้ จอมพล สฤษดิ์ตาสว่างขึ้น รู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ริษยากลั่นแกล้งกัน พร้อมสำนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อท่านนั้นว่าเป็นเพราะตนเองนั้นมีส่วนร่วมด้วย จึงมีความประสงค์ที่จะไปขอขมาพร้อมทั้งช่วยเหลือ ถึงขนาดที่ท่านได้กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า “กูไม่นึกเลยว่า พระผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์ลิ้นขนาดนี้ ให้กูหายเสียก่อน จะให้ความเป็นธรรม จะไปกราบขอขมาโทษ” แต่ความประสงค์ของนายกรัฐมนตรีก็ไม่สมประสงค์ดังที่หมายไว้ เพราะในขณะนั้นตนเองป่วยจนถึงแก่อสัญกรรม ทำให้อดีตพระพิมลธรรมต้องเผชิญชะตากรรมต่อไป หลังจากที่อดีตพระพิมลธรรมถูกขังไว้เป็นเวลาถึง 5 ปี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้นับถือพากันประท้วงร้องเรียนถึงความเป็นธรรมจนนำไปสู่การตัดสินของศาลทหาร พิพากษายกฟ้องรับรองความบริสุทธิ์ของท่าน ในวันที่ 30 สิงหาคม 2509 มีใจความว่า “ตามที่ศาลได้ประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้อง และกล่าวหามาหลายข้อหลายประเด็นนี้ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดๆ เลย พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำหรือน่าจะกระทำผิด การจับกุมคุมขังจำเลยนี้ย่อมเป็นที่เศร้าหมองและน่าสลดใจในวงการคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนมาก ท่านประธานศาลฎีกาก็ดี พระเถระผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็ดี ซึ่งเป็นพยาน ต่างก็กล่าวเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยนี้เป็นผู้ประกอบแต่กุศลกรรม กระทำกิจพระศาสนาแผ่ไพศาลไปทั้งในและนอกประเทศ ทั้งในทางปริยัติศาสนา และปฏิบัติศาสนา มีผลประจักษ์ชัดเป็นหลักฐานมาก ไม่เชื่อว่าได้กระทำผิด แต่กลับมาต้องถูกออกจากเจ้าอาวาส ถูกออกจากสมณศักดิ์ ถูกจับกุม ถูกบังคับให้สละเพศพรหมจรรย์ นับว่ารุนแรงที่สุดสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ที่ปวงชนเคารพนับถือ พระธรรมโกศาจารย์ ถึงกับกล่าวว่า คิดได้อย่างเดียวว่า เกิดขึ้นเพราะความอิจฉาริษยากันในวงการสงฆ์ หรือมิฉะนั้นก็เป็นกรรมเก่าของจำเลยเท่านั้นเอง พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด ผู้ฝักใฝ่ในธรรมผู้หนึ่งกล่าวว่า ตามที่จำเลยต้องคดีนี้ ได้สืบสวนด้วยตัวเองทราบเบื้องหลังโดยตลอด แต่จะเบิกความก็เกรงจะกระทบกระเทือนแก่วงการพระภิกษุสงฆ์และพระศาสนา ขอสรุปว่า มูลกรณีทั้งหลายตามที่ทราบความจริงมา จำเลยถูกกลั่นแกล้งโดยไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้กระทำผิดตามกล่าวหา ดังนั้น ศาลจึงขอให้จำเลยระลึกว่าเป็นคราวเคราะห์หรือกรรมเก่าของจำเลยเอง หรือมิฉะนั้นก็เป็นการสร้างบาปของคนมีกิเลส ไม่ใช่ความผิดของผู้ใด แต่เป็นความผิดของสังสารวัฏเอง ศาลนี้รู้สึกสลดใจและเห็นใจจำเลย แต่เชื่อว่าจำเลยซึ่งอบรมอยู่ในพระศาสนามานาน คงจะซาบซึ้งดีในอุเบกขาญาณที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะเป็นกรรมทายาทรับผลของกรรมนั้น และคงจะตั้งอยู่ในคุณธรรมอันเป็นลักษณะของบัณฑิตในพระพุทธศาสนาสืบไป อาศัยเหตุผลและดุลพินิจที่ได้วินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไป” หลังจากนั้นอดีตพระพิมลธรรมได้นุ่งสบงครองจีวรพาดสังฆาฏิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นที่ปลื้มปีติโสมนัสแก่พุทธบริษัทที่มาประชุมฟังการพิจารณาครั้งนี้อย่างคับคั่ง มีพระภิกษุสามเณรประมาณ 1,000 รูป คฤหัสถ์ประมาณ 300 คน ล้นแน่นศาลไปหมด จากเหตุการณ์ที่ศาลได้รับรองความบริสุทธิ์อดีตพระพิมลธรรมแล้วนั้น ผู้คนต่างศรัทธาต่ออดีตพระพิมลธรรมเป็นอย่างมาก มีการชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ท่าน เช่น การขอให้เพิกถอนพระบัญชาความผิดคืน การขอพระราชทานสมณศักดิ์กลับคืน ขอคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสดังเดิม เป็นต้น ผลจากความบริสุทธิ์ในครั้งนี้ทำให้พระพิมลธรรมได้รับความเจริญงอกงามในทางพระพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในทางตรงกันข้าม ส่วนของผู้ที่กล่าวหาตั้งแต่แรกนั้นล้วนถูกสังคมประฌาม ถึงการใส่ร้ายต่างๆ นานา แต่เห็นทีผู้ที่จะเป็นตราบาปในเรื่องนี้ ก็ไม่พ้นจะเป็น ฯพณฯ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ผู้เซ็นลงนามในคำสั่งประหารชีวิตพระพิมลธรรมจากความเป็นภิกษุเพศ ทำให้เมื่อมีการกล่าวถึงพระพิมลธรรมเมื่อใด ก็ต้องทำให้นึกคิดว่า จอมพล สฤษดิ์นั้น คือผู้อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้ ก็ถือได้ว่าตราบาปนี้เป็นวิบากกรรมของท่านนายกฯ ที่ไม่สามารถหายจากความเจ็บป่วยมาคืนความเป็นธรรมให้พระพิมลธรรมได้ จึงทำให้เป็นจำเลยสังคมต่อเหตุการณ์นี้ แม้ตัวพระพิมลธรรมเองจะบอกอย่างไรว่า จอมพล สฤษดิ์นั้นไม่ได้เป็นต้นเหตุทั้งหมด แต่สังคมก็ยังจดจำภาพ จอมพล สฤษดิ์ในฐานะผู้ร้ายกระชากผ้าเหลืองของ พระพิมลธรรม อยู่ดี.. “ผู้เขียน” เชื่อว่า การคืนความเป็นธรรมให้ “พระพรหมดิลก” นี้เป็นแค่ตัวอย่างนำร่อง ยังเหลือพระเถระอีกหลายรูปที่ควรได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นอดีตพระพรหมสิทธิ อดีตพระพรหมเมธี และอีกหลายรูป.. จำนวนผู้ชม : 721 Leave a ReplyFacebook Comments More Articles By the same author ผู้แทนองคมตรีเข้าอวยพรปีใหม่ประธาน สนช. อุทัย มณี ธ.ค. 25, 2018 วันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๒.๑๕ นาฬิกา ณ ห้องทำงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ… สมเด็จพระมหาธีราจารย์ส่งคติธรรม ถึงพระธรรมทูตต่างประเทศประสบภัยโควิด อุทัย มณี ส.ค. 03, 2020 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2563 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม… “อธิการบดีมจร”อุดหนุนหลวงพ่อพยอม ซื้อมะม่วงถวาย”ผู้บริหาร-พระนิสิต” อุทัย มณี พ.ค. 07, 2020 วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2563 พระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)… ‘อย่าอยู่ โดยไร้ประโยชน์’ ธรรมะเป็นพรปีใหม่ปี62 ‘พระครูบาบุญชุ่ม’อยู่มาเลย์ อุทัย มณี ธ.ค. 31, 2018 เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2561 เนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่ พระครูบาบุญชุ่ม… น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ผ่านเวทีขับเคลื่อน โคก หนอง นา บ้านเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร เฉลิมพระเกียรติฯ อุทัย มณี ก.ค. 30, 2022 วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565 เวลา 09:00 น. ที่ศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่รูปแบบ… ‘มจร’จับมือเครือสหพัฒน์ ทำวิจัยนวัตกรรมเชิงพุทธ ปลูกฝังเด็กไทยแลนด์ 4.0 เกิดจิตอาสาบริการสังคม อุทัย มณี มิ.ย. 11, 2019 'มจร' จับมือบริษัทในเครือสหพัฒน์ทำโครงการวิจัยรับใช้สังคมเชิงพุทธ… น.อ.ทองย้อย แสงสินชัย ปราชญ์ชาวพุทธ โต้แม่ทัพภาค 4 “อย่าหลงกล” อุทัย มณี ม.ค. 20, 2019 เมื่อช่วงค่ำวันนี้ (20 ม.ค.62) นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ประโยค… รายงานพิเศษ : “มจร” ในวันวานกับวันนี้!! อุทัย มณี ธ.ค. 01, 2023 “มจร” หรือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์สังกัดฝ่าย… พระอาจารย์ต้นโพสต์ “สัจลิขิตเป็นของอาตมา พระราชศรัทธาเป็นของพระเจ้าอยู่หัว” อุทัย มณี ต.ค. 24, 2024 วันที่ 24 ตุลาคม 2567 หลังจากราชกิจจนุเบกษาได้ลงประกาศ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ พระทวีวัฒน์… Related Articles From the same category “ดร.หลวงพ่อแดง”เกจิดังลุ่มน้ำแม่กลอง มอบกังหันปั่นน้ำโซล่าเซลล์แก้น้ำคลองประดู่เน่า วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2563 หลวงพ่อแดง นันทิโย,ดร. แห่งวัดอินทาราม… ปลัดมท.สั่งการผู้ว่าราชการเข้าพบเจ้าคณะจังหวัดด่วน..ร่วมสกัดโควิด ศบค.มท. แจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ… ปลัดมหาดไทยจับมือผู้แทน UNDP ฝึกอบรมหลักสูตร “เจาะลึก SDGs (Deep Drive SDG)” วันนี้ (19 ก.ย. 66) เวลา 9.00 น. ที่ห้อง War room ชั้น 2 กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์… ในหลวงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นองคมนตรี วันที่ 29 พ.ย. 66 ราชกิจจานุเบกษา ประกาศเรื่อง "แต่งตั้งองคมนตรี… กองทุนสื่อเปิดงาน “มหกรรมพุทธธรรมนำสื่อสร้างสันติสุข” “อุ๋ย-อลิศ-นันต์-ต้อม” เผยนำหลักธรรมทำให้พ้นภัยโควิด กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม…
Leave a Reply