วันที่ 17 เมษายน 2566 เฟชบุ๊ค หลวงพี่ตะวัน ปัญญาชนก้นบาตร หรือ พระมหาตะวัน ตปคุโณ เจ้าอาวาส วัดบ้านเพียมาตร ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ได้โพสต์เฟชบุ๊ค เล่าวินาทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาภายในวัดพร้อมสั่งให้ยุติการก่อสร้าง ร้อนถึงเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ต้องอธิบายบทบาทอำนาจของเจ้าอาวาสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟัง โดยเฟชบุ๊ค หลวงพี่ตะวัน ปัญญาชนก้นบาตร ได้โพสต์เล่ารายละเอียดจำนวน 3 โพสต์ ดังนี้
โพสต์แรกเล่า วินาทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาเพื่อลงบันทึกประจำวัดและหมายเตือนข้าพเจ้าให้ยุติการพัฒนาวัดตามคำร้องแจ้งของผู้นำ
โพสต์ที่ 2 บอกว่า บางส่วนของการให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการเดินทางมาของตำรวจ ตามการได้รับแจ้ง เพื่อเดินทางมาลงบันทึก สืบสวน และอาจนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาการจับพระสึก หรือไล่ให้พ้นจากวัด ตามคำเรียกร้องของกลุ่มผู้นำ ในขณะที่กำลังให้ข้อมูลอยู่นั้น พระเดชพระคุณเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และ ท่านผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ ท่านได้ต่อสายเข้ามาเพื่อทำการชี้แจงบทบาทอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะพระสังฆาธิการหรือเจ้าอาวาสตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายคณะสงฆ์ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ให้กับทางตำรวจ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านได้รับฟังถึงสิ่งที่ถูกที่ควร ตามเจตนารมณ์ของการพัฒนาวัด โดยที่เจ้าอาวาสวัดมีความถูกต้องตามบทบาท อำนาจหน้าที่ ไม่ได้ก้าวล่วงเขตอำนาจแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ทางตำรวจกล่าวอ้างนานานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดูเสมือนว่าจะยังเป็นผู้ไม่เข้าใจในบทบาทของการเป็นนักไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาทแบบมืออาชีพอย่างชัดเจน

และโพสต์ที่ 3 เล่าต่อว่า มันมีชุมชนไหนไหม ? ที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย อบต. เลขานายก อบต. กลุ่มบรรดาผู้นำ กรรมการที่กินเงินวัด ไปแจ้งตำรวจมาจับเจ้าอาวาส จับพระ ปลุกระดม ปลุกปั่น ชาวบ้านแค่หยิบมือที่เสียผลประโยชน์กับวัดให้เกลียดชังพระ มาคุกคามข่มขู่พระ อาฆาตมาดร้ายพระ ไล่พระหนี โดยที่พระไม่มีความผิดอะไร
ฐานความผิดที่กล่าวร้าย เพียงเพราะพระสร้างพัฒนาวัด โดยที่ผู้นำ (อดีต)กรรมการห่วยๆ ไม่ได้ถือเงินเอง จัดซื้อ จัดจ้าง ค่าช่างแรงงาน วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเอง
เงินที่ญาติโยมถวายมาในวาระงานบุญต่างๆ เป็นเวลาสิบๆปี เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์วัด ผู้นำจะเป็นผู้เก็บรวบรวมไว้ โดยที่วัดไม่มีการพัฒนาอะไรที่สมเหตุสมผลกับเงินที่มีอยู่เลย
ประชุมทุกครั้ง แจ้งในที่ประชุมว่าเงินวัดมีเป็นล้านๆ เก็บเป็นเงินสดที่บ้านผู้นำ แต่เมื่อเวลาถูกจี้ถามนำมาชี้แจงจริงมีเงินวัดอยู่ราว 4,970 บาท เป็นเงินเหรียญทั้งหมด (ทั้งที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้นำ เอาเงินกฐิน ผ้าป่าวัด ไปเองทั้งหมด)
นี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ข้าพเจ้าโดนกระทำด้วยกระบวนการศาลเตี้ยอย่างป่าเถื่อน แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปี เต็ม ที่ชีวิตข้าพเจ้าถูกคุกคาม ข่มขู่มาโดยตลอด จากผู้นำ และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ที่เคยหากินบนผลประโยชน์ของวัดมานานนับสิบปี

เขาไม่ต้องการให้วัดและชุมชนพัฒนาเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเจริญขึ้น อ้างเพียงเพราะวิถีปฏิบัติเดิม ๆ ที่กลุ่มพวกเขาใช้อิทธิพลการเมืองเหยียบหัวชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ให้กล้าต่อกรกับอิทธิพลความมืด
ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าใช้หลัก อภัย ขันติ อดทน อดกลั้น จากการกระทำที่อยุติธรรมมาโดยตลอด เพื่อให้โอกาสเขาสำนึกกลับใจ รู้ดีรู้ชั่ว บาปบุญคุณโทษ แต่ก็ไม่เป็นผล เหมือนยิ่งนิ่ง ยิ่งอุเบกขา เขายิ่งได้ใจ ยิ่งทำร้ายข้าพเจ้า ทำร้ายพระเณร ทำลายวัด ทำลายพระพุทธศาสนาหนักขึ้น
ครั้งที่ 4 ที่เขาแจ้งหน่วยงานต่างๆ แจ้งตำรวจให้มาจับข้าพเจ้าสึก จับข้าพเจ้าเข้าคุก เหตุผลที่แจ้งตำรวจเพียงเพราะข้าพเจ้าสร้างกุฏิให้พระเณรได้ซุกหัวนอนโดยที่เขาไม่อนุญาตให้ทำ ไม่อนุญาตให้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ศาลาวัดที่ผุพัง เพียงเพราะเขาไม่ได้ผลประโยชน์ ไม่ได้เป็นผู้ถือเงินเอง
#เขาต้องการให้ข้าพเจ้าหาเงินมามอบให้เขาเป็นผู้จัดการเอง #ซึ่งเขาจะทำหรือไม่ทำอะไรในวัดขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับพระ เช่นนี้เข้าข่ายที่ว่า #เจ้าอาวาสอยู่บ้านสมภารอยู่วัด เหมือนกับพระบวชมาเพื่อเป็นเครื่องมือของคนถ่อยให้เข้ามาเกาะกินวัดเป็นที่แสวงหาผลประโยชน์
พระท่านสร้างวัด ท่านสร้างด้วยหัวใจที่ศรัทธาเลื่อมใส สร้างด้วยความรัก ด้วยความเคารพและปราณีต เพราะวัดเป็นเสมือนบ้านของท่าน มีใครที่ไหนไม่รักบ้านตัวเอง
อีกทั้งวัดคือสถานที่พึ่งพิงของคนทุกข์คนยาก เวลาทุกข์ใจก็มาวัด ทุกข์กายก็มาวัด เจ็บป่วยขาดเหลือทุกข์ยากลำบากใดใด ส่วนใหญ่ก็มาขอให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือ มากกว่าไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาผู้นำที่ไร้ความสามารถ ไร้สติปัญญาทั้งหลาย


Leave a Reply