“คดีเงินทอนวัด” พ่นพิษ จำคุกพร้อมยึดทรัพย์เพิ่ม อดีตผอ.ส่วนพัฒนาบูรณะวัด??

ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหาอดีตผู้บริหาร สนง.พระพุทธศาสนาแห่งชาติทุจริตเงินทอนวัด ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาลงโทษคดีที่ 2 ‘วสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์’  อดีตผอ.ส่วนพัฒนาบูรณะวัดฯ จำคุกอีก 3 ปี คืนเงิน 1.5 ล้าน หลังรับสารภาพ ก่อนหน้านี้ โดนโทษคุก 9 ปี 18 เดือน ยึดทรัพย์ 56 ล. ร่ำรวยผิดปกติไปแล้ว  


สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก ทุจริตในการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ที่ได้จัดสรรให้วัดศรีทรายมูล ตำบลยางคราม อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถูกคณะกรรมการ​ ป.ป.ช.​ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม​ ป.อ.​ มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา

โดยคดีนี้ ปรากฎชื่อ นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ อดีตผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นจำเลยที่ 1  พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์หรือ นายไพโรจน์บุญโสม จำเลยที่ 2  นายสุเมธ เชิดฉาย จำเลยที่ 3  

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาว่า นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามกฎหมาย

พิพากษาลงโทษ จำคุก 6 ปี ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษเหลือ 3 ปี ให้นับโทษต่อคดีเก่าด้วย และให้จำเลยร่วมคืนเงิน 1,500,000 บาท แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ส่วนพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ หรือ นายไพโรจน์บุญโสม จำเลยที่ 2  นายสุเมธ เชิดฉาย จำเลยที่ 3  ให้แยกฟ้อง 

ทั้งนี้ คดียังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้

เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามที่อัยการสูงสุด (อสส.) หารือไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางภาค 7 เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษา

สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา 151 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

picppckesxdcfvgbhn21 9 66

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาลงโทษ จำคุก 9 ปี 18 เดือน คืนเงิน 8,700,000 บาท แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ในคดีทุจริตเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์ที่ได้จัดสรรให้วัดราชบุรณะ ตำบลท่ามะพลา อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร ประจำปีงบประมาณ 2555 ถึง 2557 ไปแล้ว

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ยังได้มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์สิน นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์  รวมมูลค่า 56,327,661 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ในคดีร่ำรวยผิดปกติด้วย

Leave a Reply