“เจ้าคุณประกอบ” ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผู้เขียนเคยได้ยินและสัมผัสมานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533-2536 อบรมบาลีก่อนสอบวัดไร่ขิง ยุคที่ “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์” อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทุกเช้าประมาณตีสี่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์จะตื่นมาปลุกและให้กำลังใจนักเรียนบาลีผ่านเครื่องเสียง ยุคที่ “เจ้าคุณแย้ม” พระธรรมวชิรานุวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการหลวงพ่อ..พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
ยุคที่ “สามเณรกาญจน์กับสามเณรสุพรรณ” มีปัญหาฟาดกันทุกปี บางปียกเก้าอี้ฟาด ณ โรงลิเก ต่อหน้า “พระมหาสมบูรณ์” ปัจจุบันคือ “พระเทพสาครมุนี” อดีตเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร และยุคนั้น “พระพรหมเวที” ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่ง “เจ้าอาวาสพระปฐมเจดีย์” ซึ่งทั้ง พระสาครมุนีและพระพรหมกวี ยุคนั้นคือ “ตลกคู่” ทำให้พวกเราที่นอนดึกตื่นเช้า..พูดเล่นล้อเลียนซึ่งกันและกันเพื่อให้นักเรียน..คลายง่วง

ยุคนั้น “เจ้าคุณกอบ” เป็นแกนนำรูปหนึ่งในการอบรมบาลีก่อนสอบ ซึ่งมาจาก “ทีมวัดชนะสงคราม” บาลีก่อนสอบวัดไร่ขิง.. ยุคนั้นจึงมีชีวิตชีวาและะผู้เขียนได้สัมผัสชื่อนี้มาตั้งแต่บัดนั้น
ตอนหลังไปเรียนบาลี “วัดชนะสงคราม” ก็เคยเจอกันบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ตอนหลัง “เจ้าคุณกอบ” “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ส่งตัวไป “กอบกู้” วัดกัลยาณมิตร ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าตอนนั้น “ทรุดโทรม” เหมือนสลัม แออัด สกปรก ไม่สมกับเป็น “วัดหลวง”
“เจ้าคุณกอบ” หรือ “พระพรหมกวี” มาดังอีกทีตอนมีเรื่องฟาดฟันกับกลุ่มผลประโยชน์ภายในวัดและกับกรมศิลป์ ตอนนั้น “ผู้เขียน” ทำงานอยู่ช่อง 11 เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบ้าง นักวิชาการชาวพุทธ มาออกรายการบ้าง ท่านเป็น “นักสู้” ปากกับใจตรงกัน ตรงไปตรงมา
“ผู้เขียน” เคยฟังจากเพื่อนฝูงที่เป็น “กัลยาณมิตร” กับท่านว่า ปัจจุบันท่านพัฒนาวัดสวยงาม รายได้เข้าวัดเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดูแลชุมชนรอบวัดที่มีรายได้จาก “หลวงพ่อสำปอกง” เป็นอย่างดี พร้อมทั้งชวนให้ไป “กราบท่าน” แต่ผู้เขียน ตอบปฎิเสธที่จะไป เนื่องจาก ตอนหลัง ๆ มานี้ “ผู้เขียน” ไม่ชอบที่จะวิ่งเข้าหาชนชั้นอำนาจ สอง บางทีการไปแบบนี้หลายครั้ง มักมีเสียงเล็ดลอดจากพระผู้ใหญ่มาว่า “พวกมหา” ไม่มาขอเงิน..ก็มาขายประกัน
“ปลัดเก่ง” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ไวยาวัจกรวัดราชบพิธ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยพูดถึงท่านกับผู้เขียนว่า “เจ้าคุณกอบ” เป็นพระดี และเป็นพระ สุปฎิปันโน..

“ผู้เขียน” เจอเจ้าคุณกอบ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “พงศ์สันต์” หรือสมณศักดิ์ท่านปัจจุบันคือ “พระพรหมกวี” อีกทีเมื่อวานนี้ในงานมอบบ้านช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย ที่จังหวัดลพบุรี ทำให้รู้ว่า โครงการสังฆประชานุเคราะห์ พระเดชพระคุณทำมานานแล้วตั้งแต่อยู่ในภาค 13 โดยมี “จังหวัดจันทบุรี” เป็นต้นแบบ แรงบันดาลใจเจอเด็กชายกตัญญูกตเวทีคนหนึ่ง ไร้บ้าน แต่กตัญญูดูแลพ่อที่ป่วย ท่านจึงให้คณะสงฆ์ในจังหวัดหาข้อมูลแล้ว ก็ไปสร้างบ้านพร้อมอยู่ให้แล้วเสร็จ ตอนนี้สร้างไปแล้วประมาณ 100 หลัง ซึ่งการสร้างบ้าน “พระพรหมกวี” มองว่า ยั่งยืนกว่า สาธารณะสงเคราะห์อื่น ๆ ที่คณะสงฆ์ทำอยู่ตอนนี้ ท่านบอกต่ออีกว่า ท่านทำแบบนี้สอดรับกับแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์รัชกาลที่ 9 ที่มีโครงการ “ราชประชานุเคราะห์”
“ผู้เขียน” ถูกใจยิ่งนักเมื่อท่านพูดว่า ถามพระสงฆ์เรามีโบสถ์ มีศาลา มีกุฎิใหญ่โตสวยงาม แต่ชาวบ้านรอบวัด อยู่กระต๊อบ ซึ่งเป็นคนให้ข้าว ให้น้ำกับพวกเราได้กินทุกวัน เรานอนหลับสบายดีอยู่ได้อย่างไร ซ้ำบอกต่ออีกทำนองว่า ทำไม!! ชาวพุทธเราจึงเกื้อกูลกันน้อยนัก ช่วยเหลือกันน้อยนัก ต่างจากศาสนาอื่น ๆ การที่เราไปโทษ “กรรม” ถูกต้องเสมอไปหรือไม่!! ประมาณนี้
“ผู้เขียน” เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ “พระพรหมกวี” เดียวนี้วัดวาอารามในต่างจังหวัดใหญ่โตโออ่า โบสถ์ ศาลา กุฎิ เริ่มร้างเพราะขาดพระสงฆ์ดูแล เชื่อเถอะ ไม่กี่ปี “เจ้าอาวาส”ก็ต้องหางบประมาณมาซ่อมแซมต่อ บางวัดโบสถ์ไม่ทันใช้เลย เริ่มทรุด ร้าวแล้ว..
เมื่อวานนี้หลัง “พระพรหมกวี” พูดเสร็จ ปล่อยช็อตเด็ดนี้ไป “ดิ้นพล่าน” โดยเฉพาะ “พระภิกษุบางรูป” รับไม่ได้อ้างเหตุผลสารพัด..ขนาดพระมหาเถระผู้ใหญ่ที่ทั้งมีพรรษามาก ที่ วุฒิความรู้มาก ไม่ต้องพูดถึง “สมณศักดิ์-ตำแหน่งปกครอง” พูดแล้ว ตักเตือนแล้วยังไม่ฟังกัน ซ้ำต่อว่าเสียหาย ๆ..แบบนี้คณะสงฆ์จะอยู่ จะดูแลกันได้อย่างไร.. ไม่ต่างกับสังคมข้างนอกที่ทุกวันนี้เด็กสะกดคำว่า “ผู้ใหญ่-เด็ก” หรือคำว่า “กตัญญูกตเวที” ไม่เป็นกันแล้ว
คณะสงฆ์คงสัมผัสกับสังคม “เบื่อหน่าย” อย่างที่พระพรหมกวี เตือนพวกท่านไม่ได้..


Leave a Reply