“เจ้าคุณประสาร” แจงเหตุ “ยุติศูนย์พิทักษ์ฯ” จบภารกิจและสมาชิกส่วนใหญ่ “สูงวัย – ตายจาก”

วันที่ 11 สิงหาคม 2567 หลังจาก ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ประกาศปิดกิจการและยุติบทบาททั้งหมด โดยคำสั่งของ “พระธรรมกิตติเมธี” ประธานศูนย์พิทักษฯ  พระราชวัชรสารบัณฑิต   หรือ “เจ้าคุณประสาร” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ตามที่ประธานกรรมการบริหารศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศเรื่อง.  แจ้งปิดทำการสำนักงานและยุติกิจการทั้งหมด รวมทั้งการสิ้นสภาพการเป็นสมาชิกของบุคลากร กรรมการและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน  โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ตามที่ทราบแล้วนั้น ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ก่อกำเนิดเมื่อ 23 ปีก่อน (พ.ศ.2544) เหตุผลในเวลานั้นก็เนื่องมาจาก การยกร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ.2540 ซึ่งในปีนั้น รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เวลานั้นนักคิด นักปราชญ์ พระนักวิชาการ พระนิสิต พระนักศึกษา  พระภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อย นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม  ตลอดจนชาวพุทธส่วนหนึ่งได้ก่อตัวขึ้น เพื่อเคลื่อนไหวให้ สสร.บรรจุหลักสำคัญที่เป็นความประสงค์ของชาวพุทธ (แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม)โดยขอให้บรรจุคำว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำขาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540

ผู้แทนชาวพุทธได้นำรายชื่อผู้เห็นด้วยกว่า สองแสนรายชื่อเข้าไปยื่นที่รัฐสภา ถนนอู่ทองใน ประธานยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ได้พูดกับผู้แทนชาวพุทธ  ทั้งที่เป็นพระสงฆ์  สามเณรและฆราวาสที่เข้าไปยื่นเรื่องว่า  รายชื่อเยอะมาก ดูไม่ไหวหรอก ทำให้ในเวลาต่อมา ความพยายามของชาวพุทธส่วนหนึ่งก็ดูว่าไร้ผล ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับ“เสียงชาวพุทธ”จำนวนมากมายมหาศาลนั้น

ต่อมาคณะพุทธบริษัทดังกล่าวนี้ ก็ยังไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์ กอรปกับพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ได้รับผลกระทบ ถูกกระทำต่างๆนานา ในต่างกรรม ต่างวาระ หรืออาจจะพูดได้ว่า ในหลายเรื่อง หลายโอกาส ได้ถูกกระทำ ย่ำยี อย่างไม่เคารพยำเกรง จนมีการนำวลีประวัติศาสตร์ของชาวพุทธมาย้อนในเชิงห้ามปรามและตัดพ้อว่า “ไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ”  จากนั้นมา (พ.ศ. 2540) คณะบุคคลดังกล่าว ก็ได้ก่อตัวขึ้นในนามศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่วัดราชาธิวาสวิหาร (คณะใต้) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และภายหลังกำเนิดศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย การทำงาน การทุ่มเท เสียสละและการต่อสู้ภายใต้สโลแกน “พิทักษ์ ปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ มีพระเถระ พระสงฆ์ คฤหัสถ์ ที่เป็นดาวเด่น ดาวดัง เกิดขึ้นประดับวงการพุทธมากมาย

การเดินหน้าให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีระบบ แบบแผนยิ่งขึ้น ในทุกรัฐธรรมนูญ การออกมาชี้แจง ตอบโต้ ชี้ผิด ชี้ถูก การทำความเข้าใจกับสังคมมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่ง การออกมารวมตัวกันของพระสงฆ์จำนวนมากในหลายที่ หลายแห่ง หลายกรณี ตามที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ม๊อบพระ” ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง ในยุคสมัยที่ศูนย์พิทักษ์ฯแห่งนี้เฟื่องฟู  แน่นอนการดำเนินการทั้งหลาย ทั้งปวงที่กล่าวมานีันั้นย่อมมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ มีคนรัก มีคนเกลียด มีคนชม มีคนสาปแช่งชิงชัง

“ถึงอย่างไรก็ตาม สมาชิกศูนย์ฯ ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นในอุดมการณ์ ในฐานะพุทธบริษัทในอันที่จะมีหน้าที่พิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างไม่คลอนแคลน ทุกท่านยอมเสียสละ แม้จะต้องเผชิญกับอะไรในหลายๆอย่างก็ตาม ในวันที่ถูกด่า ทุกประจานทุกคนไม่ท้อ ไม่ถอย แต่ยังกล้าสบตากับทุกคน ในวันที่ไม่อยากมีใครเข้าใกล้ ในวันที่คนอื่นกลัวจะโดนไปด้วย แต่เราชาวศูนย์ฯ ต่างก็อดทน อดกลั้น บำเพ็ญขันติบารมีและรู้จักกลืนเลือดให้เป็น โดยไม่เคยปริปากบ่น ไม่ไปวิ่ง ไม่ไปขอความเห็นใจ..”

กาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง วันนี้สมาชิกศูนย์ฯในวัยที่แตกต่างกัน ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ได้มานั่งคุยเพื่อถอดบทเรียน ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางสังคมที่แปรเปลี่ยน ประธานเสนอให้เลขาธิการขึ้นไปนั่งเป็นประธานกรรมการบริการศูนย์ฯ ในฐานะเลขาธิการก็ได้แต่ผ่อนไปผ่อนมา และในที่สุดก็มีผลสรุปร่วมกันว่า

     1.ศูนย์ฯได้ทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์มานานกว่า 23 ปีแล้ว

     2.ผลงานที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในภารกิจที่ร่วมกันทำมาอย่างยาวนานและบัดนี้ก็มีหลายหน่วยงานได้รับไม้ต่อยอดไปในเรื่องนั้น ๆ แล้วพอสมควร แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

     3.สมาชิกหลายท่าน หลายคนก็อายุมากขึ้นหลายท่านอยู่่ในวัยผู้สูงอายุและบางท่านก็ล้มหายตายจากกันไป

 ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราชาวศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จึงขอแจ้งทุกท่านว่า ถึงเวลาแล้วที่จะขอปิดม่านประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในนามศูนย์ฯอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

ในส่วนสมาชิกหลายท่าน หลายคนจะไปรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งองค์กรใดองค์กรหนึ่งขึ้นมาตามอุดมการณ์และแนวทางของตนเพื่อพระพุทธศาสนานั้นก็ขอให้เป็นเรื่องคำตอบที่จะมีในอนาคตก็แล้วกัน

Leave a Reply