เจริญพร อ.สมฤทธิ์ ลือชัย

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต (ประสาร) ได้โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัว พระราชวัชรสารบัณฑิต – เจ้าคุณประสาร เพื่อสื่อสารถึง อ.สมฤทธิ์ ลือชัย ว่า

เจริญพร อ.สมฤทธิ์ ลือชัย  จากการที่อาจารย์ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ค Somrit Luechai เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๗ ว่า “ผ่านแม่สะเรียง เห็นป้ายนี้แล้วชื่นใจ ภราดรภาพนำมาซึ่งความสุข จำไว้พระประสาร”

อาตมาขออนุญาตเล่าบางสิ่งบางอย่างเพื่อจะได้เข้าใจตรงกันในฐานะพุทธศาสนิกด้วยกัน เพราะแล้ว ทั้งอาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย และอาจารย์สุรพศ ทวีศักดิ์ ก็จะพูด จะกล่าวผ่านช่องทางสื่อโชเชียลถึงอาตมาอยู่เนืองๆ และ อาตมาก็ยังยึดถือในคติเดิมคือ จะอธิบาย หรือตอบโต้ให้น้อยถึงน้อยมาก นี่ก็ยังคงยังยึดมั่นอยู่ เว้นเสียแต่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านได้สื่อออกมาแล้ว มีผลกระทบต่อส่วนรวม ต่อมหาวิทยาลัยที่อาตมาสังกัด คณะสงฆ์หรือพระพุทธศาสนาก็เท่านั้นเอง

สำหรับในโพสต์นี้นั้น แน่นอนว่ามีความหมาย นัยแห่งการโพสต์เพื่อจะบอกกล่าวว่าศาสนาต่างๆในเมืองไทยนั้น มีภราดรภาพต่อกัน และแนวทางนี้จะนำมาซึ่งความสุขทำนองนี้

ในเรื่องนี้ก็จะได้เป็นประเด็นถกกันในเชิงข้อเท็จจริงและในทางวิชาการเพื่อจะได้ทำความเข้าใจร่วมกันและจะได้ส่งเสริมกำลังแห่งสัมมาทิฎฐิในหมู่ชาวพุทธด้วย

ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ปรากฎชัดว่าอาจารย์สมฤทธิ์ ได้เพียงแค่ผ่านไปเห็นป้าย ขอย้ำนะว่าเพียงแค่ผ่านไปเห็นป้ายข้างถนนเท่านั้น (ป้ายและรูปในป้ายไม่ได้ผิดอะไร เป็นเพียงการเล่าเรื่องต่อเนื่องที่จะเป็นตัวอย่างพื่อจะยกไปเล่าเท่านั้นเอง) ยังไม่มีรายละเอียดอื่นใดให้ปรากฎไปมากกว่านี้เลย แต่อาจารย์สมฤทธิ์ กลับยกย่อง เชิดชูและเสียดแทงมาทางอาตมาเสียแล้ว

อาตมาเลยขอเล่าถึงพระพุทธศาสนาและประวัติในการเผยแผ่พระศาสนาในภูมิภาคนี้ เพื่อจะได้ค้นพบประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษชาวพุทธ ที่ได้สร้างบ้าน แปงเมือง ในแผ่นดินนี้มายาวนาน แผ่นดินนี้คือแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่ และท่านบอกว่าความสุขตามรูปป้ายโฆษณาข้างทางที่ท่านได้พบเห็น แต่เบื้องหลังท่านจะได้พบร่องรอยบางอย่าง รวมทั้ง จะได้พบเห็นบาดแผลรอยลึกในทางศาสนา ในบางแง่มุม ที่น่าจะแตกต่างไปจากความรู้เดิมที่ท่านมีอยู่ หรืออย่างในกลุ่มคนโลกสวยบางกลุ่ม บางคนอีกด้วย

พระพุทธศาสนามีประวัติศาสตร์ยาวนาน ในการทึ่พระมหาเถระได้นำมาเผยแผ่ผ่านมาในดินแดนที่เรียกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเอเชียอาคเนย์ หรืออุษาคเนย์ (Southeast Asia) เจ้าชายสิทธัตถะได้ค้นพบความจริงอันประเสริฐ ได้ตรัสรู้เป็น “อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ” ในดินแดนชมพูทวีปเมื่อกว่า ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว คำสอนในทางพระพุทธศาสนานั้น สอนให้มีเมตตา กรุณาต่อทุกสรรพสิ่ง สอนให้ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น สอนให้ดำเนินชีวิตในทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง สอนทางอันจะนำไปสู่การหลุดพ้นหรือพ้นจากทุกข์ทั้งปวงและใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์นั้น มีทั้งคำสอนที่ต้องดำเนินชีวิตในโลกียวิสัยและในขั้นโลกุตระ (อาจารย์พุทธทาสเรียกว่าสิ่งเหล่านี้ว่า ภาษาคน ภาษาธรรม)

นอกจากนั้นแล้วตลอดพระขนม์ชีพ ๔๕ พรรษา ในการเผยแผ่พระศาสนาของพระพุทธองค์ ไม่เคยสอนเรื่องการพลีชีพ การจงรักภักดีแบบพลีชีพ สงครามศักดิ์สิทธิ์ การเข่นฆ่าทำลายล้างเพื่ิอศาสนา หรือเพื่อศาสดาของตน ไม่มี ไม่มีทั้งในแง่พระธรรมคำสอนและไม่มีทั้งในแง่ประวัติศาสตร์การเผยแผ่พระศาสนาของพระสาวกบนโลกใบนี้ เราชาวพุทธจึงไม่เคยมีสงครามศาสนา ไม่มีสงครามเพื่อพระพุทธเจ้า ไม่มีการเสียเลือด เสียเนื้อเพื่อพระศาสนา มีแต่เพียงธรรมวิชัยในกองธรรมทัพของพระธรรมราชเจ้าเท่านั้น

จึงจะเห็นได้ว่าเมื่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่หลายไปในที่ใด ที่นั่นก็สงบร่มเย็น เป็นสุข ตัวอย่างชัดที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ สยามเมืองยิ้ม คือ ประเทศไทยของเรานี่เอง นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดที่สุด เพราะทั้งหลาย ทั้งปวง ในบ้านเมืองนี้นั้น ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของพระพุทธศาสนาเกือบจะทั้งสิ้น

เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในอุษาคเนย์ พระมหากษัตริย์ ชนชั้นสูง และประชาชนทั้งแผ่นดินต่างก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่างก็เคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย หันมาเป็นชาวพุทธอย่างไม่เคลือบแคลงสงสัย โดยไม่มีใครบังคับขู่เข็ญนานาประการ และโดยเฉพาะในดินแดนของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าในอดีตจะเรียกชื่อประเทศว่าอะไรก็ตามพระพุทธศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันมาบนแผ่นดินไทย ชาวพุทธจึงมีความรู้สึกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย แม้จะไม่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม พระพุทธศาสนาเมื่อตั้งมั่นในผืนแผ่นดินไทยแล้ว คนไทยเกือบจะทั้งประเทศต่างก็เป็นชาวพุทธ แผ่นดินนี้จึงอุดมไปด้วยพระสงฆ์ สามเณร สมณชีพรามณ์ วัดวาอารามจึงมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง

ย้อนหลังไปช่วงปลายๆสมัยสุโขทัย เรื่อยมาในหลายยุค หลายสมัย ของแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน (ไม่นับประวัติศาสตร์ว่าไทยมีแค่กรุงสุโขทัย อยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เท่านั้น) และปรากฎเด่นชัดในสมัยอยุธยา จะพบว่ามีศาสนาต่างๆอย่างน้อยก็สองศาสนาเริ่มเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแห่งนี้ การเข้ามาของศาสนาอื่นในดินแดนนี้ ปรากฎชัดว่ามีการเผยแผ่ไปตามคำสอนของศาสดาในศาสนานั้นๆบนพื้นฐานที่ว่า ประชาชนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา

ชาวพุทธที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมอยู่แล้วก็ไม่ได้ต่อต้านใดๆ เป็นมิตรด้วยซ้ำไป ยินดีต้อนรับ เปิดประตูกว้าง เปิดใจรับทุกศาสนา เพราะศรัทธาและปัญญาที่มีต่อศาสนาเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า

ดังนั้น ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและตลอดระยะเวลายาวนานมาจนถึงบัดนี้ ถ้าจะมองย้อนกลับด้วยสายตาที่กอรปด้วยธรรมแล้วก็จะพบร่องรอยและบาดแผลบางอย่าง บางช่วง บางตอนของประวัติศาสตร์แห่งการเผยแผ่ศาสนาในภูมิภาคนี้ ในบางกลุ่ม บางพวกและบางคน ในการเผยแผ่ศาสนาเชิงบังคับ ให้อามีส และหนักเข้าก็ลุกลาม บานปลายมาเป็นสงครามย่อยๆ(การเข่นฆ่า ทำลายล้าง) เพื่อศาสนาของตนบนพื้นฐานที่ว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี และถ้าจะมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อินเดียโบราณก็ยิ่งชัดว่ามีการฆ่า ทำร้าย ทำลายชาวพุทธอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เรื่องเช่นนี้มีมาแล้วในอดีตจนชาวพุทธเหี้ยนเตียน พุทธศาสนาสูญสลายไปจากแผ่นดินพุทธภูมิและในประวัติศาสตร์ก็บอกไว้ว่าวิธีการเช่นนี้ ก็ได้ขยายวงออกไปอีกในหลายประเทศในโลกนี้ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่ได้เปลี่ยนเวลา สถานที่และบุคคลใหม่เท่านั้น

บัดนี้ เมืองไทยแม้จะไม่ถึงขนาดที่กล่าวมาแล้วนั้นก็ตาม แต่มันก็มีร่องรอย บาดแผลและสัญญาณบางอย่าง ให้ได้พบ ได้เห็น พวกเราในฐานะพระสาวกของพระพุทธองค์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ย่อมมีสิทธิเก็บข้อมูล เก็บสถิติ วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์อนาคตของพระพุทธศาสนาล่วงหน้า บนพื้นฐานของความเมตตา กรุณาและการไม่เบียดเบียนกัน แต่มุ่งทำในแง่มุมที่ตระหนักในการรู้เขา รู้เรา รู้ไว้เพื่อป้องกันและแก้ใข ให้ศึกษาอดีต ค้นพบปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความมั่นคงของพระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่บรรพบุรุษของเราชาวพุทธได้สร้างไว้ให้ลูกหลานได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจนถึงปัจจุบัน

ในชั้นนี้นั้น ขอยืนยันว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นพวกสุดโต่ง สร้างความแตกแยก ให้ร้ายทางศาสนา แต่ในฐานะพระสงฆ์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาอยากจะอธิบายความจริงทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และข้อเท็จที่ปรากฎอยู่ให้ได้เห็น ให้ชาวพุทธพึงตระหนักร่วมกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า “ สุขา สังฆัสสะ สามัคคี“ เราชาวพุทธต้องสามัคคีกัน รักกัน ช่วยกันศึกษาและปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ช่วยกันเผยแผ่และพิทักษ์ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา และอยากให้ให้เรียนรู้ รู้ทันภัยทั้งจากภายใน ภัยภายนอก เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืนสืบไป อันจะอำนวยสันติสุขอย่างแท้จริงต่อมวลมนุษยชาติ

นักวิชาการบางท่าน บางคน อยากให้คิด ให้ตรึกตรองให้ลึกซึ้งตามหลักโยนิโสมนสิการ ท่านเป็นคนเก่ง มีปัญญา ขอให้ใช้ให้ถูกที่ ถูกทาง เราชาวพุทธรักสงบ ไม่รบราฆ่าฟันกับใคร ไม่เคยเอารัดเอาเปรียบใคร ไม่เคยบังคับข่มเหงใคร ให้มาเคารพนับถือ แต่ในขณะเดียวกัน ในหมู่พุทธบริษัทก็จะต้องมีปัญญารู้เท่าทัน เพื่อจะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ถูกทำร้าย ไม่ถูกหลอกถูกเบียดเบียน และท้ายสุดจะกลายเป็นการล่มสลายของพระศาสนาไปในที่สุดบนผืนแผ่นดินไทย

ดังนั้น ในบางเรื่อง บางอย่าง เช่น เห็นป้ายโฆษณาข้างถนนก็อย่าทึกทักเอาทั้งหมด เพราะเป็นการมองเห็นแต่เพียงผิวเผินแล้วหันมาพูดจาค่อนแคะ โบราณท่านสอนไว้ในโคลงโลกนิติ ว่า
“…เห็นใดจำให้แน่ นึกหมาย
ฟังใดอย่าฟังดาย สดับหมั้น
ชนม์ยืนอย่าพึงวาย ตรอกตรึก ธรรมนา
สิ่งสดับทั้งนั้น ผิดเพี้ยนเป็นครู…”

Leave a Reply