เปิดฉายา..พระสงฆ์ปี’67

การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี หรือ การตั้งฉายานักการเมืองประจำรัฐสภาหรือแม้กระทั้งวงการ ทหาร ตำรวจ ดารา ของผู้สื่อข่าว ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติสืบต่อกันมา และถือเป็นปกติธรรมดาของสื่อมวลชนเพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของตัวแทนประชาชนและบุคคลสาธารณะ โดยมิได้มี “อคติ” หรือยึดความ “สัมพันธ์ส่วนตัว” เพื่อผู้ใดผู้หนึ่งไม่ สำหรับการตั้งฉายาให้พระภิกษุสงฆ์ ปีนี้เป็นปีที่ 5 ของคนข่าวศาสนา และเราในฐานะสื่อมวลชนศาสนา การตั้งฉายาให้กับพระภิกษุสงฆ์ มิได้เกิดจากความไม่เคารพไม่นับถือ ด้อยค่าหรือ ไม่ศรัทธาหรือมีเจตนาล่วงละเมิดแต่ประการใดไม่ การตั้งฉายาของพระภิกษุในปีนี้ เน้น พระภิกษุผู้ปรากฏตามสื่อออนไลน์หรือเป็นพระภิกษุที่ถูกเล่าขานเป็นหลัก โดยสรุปจากการสอบถามจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ รวมทั้งสำรวจจากนักวิชาการชาวพุทธ คนเคยบวชเรียน หากการตั้งฉายาแห่งปี กระทบถึงจิตใจของพระคุณเจ้ารูปใดหรือกระทบต่อศิษยานุศิษย์ท่านใด ทางกองบรรณาธิการ “thebuddh” ขอกราบประทานอภัยล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้

สำหรับปีนี้กองบรรณาธิการคัดเลือกเฉพาะ 10 รูป พร้อมกับตั้งฉายา 10 ฉายาแห่งปี’67 ซึ่งมีพระภิกษุตั้งแต่ระดับพระราชาคณะ จนถึง พระสังฆาธิการ ดังปรากฏรายนามดังต่อไปนี้

1.จากดินสู่ดาว

“หลวงปู่ศิลา สิริจนฺโท” หรือ “พระราชวัชรธรรมโสภณ”  วัดพระธาตุหมื่นหิน จ. กาฬสินธุ์ เดิมเป็นพระภิกษุที่ประชาชนไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเท่าไรนัก หลังสิ้น “หลวงพ่อพัฒน์  ปุญฺญกาโม” หรือ พระราชมงคลวัชราจารย์ แห่งวัดห้วยด้วน จ.นครสวรรค์  ชื่อเสียงของ “หลวงปู่ศิลา” กลายเป็นพระสายเกจิที่โด่งดังแห่งยุค  แม้จะมีคำ “ซุบซิบ” เรื่องการนับอายุพรรษา เนื่องจาก “หลวงปู่ศิลา” เป็นชาย 3 โบสถ์ หลังสุดกระทำ “ทัฬหีกรรม” เข้าสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต โดยธรรมเนียมปฎิบัติการนับอายุพรรษาของคณะสงฆ์ธรรมยุตต้องเริ่มต้นใหม่ พร้อมกับมีคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับท่านถูก “ธุรกิจพระเครื่อง” นักการตลาดใช้กุลยุทธ์ปั้นจากพระผู้เฒ่าธรรมดาให้กลายเป็นพระที่มีชื่อเสียงได้ โดยอาศัย “วัตถุมงคล” เป็นตัวนำทาง  จนทำให้ “หลวงปู่ศิลา” จากพระบ้านนอกไกลปืนเที่ยง เป็นพระสายเกจิมีชื่อเสียงโด่งดั จนไร้ผู้ต่อต้าน

ด้วยเหตุนี้ “พระราชวัชรโสภณ”  หรือ “หลวงปู่ศิลา” จึงควรได้รับการยกย่องตั้งฉายาว่า “จากดินสู่ดาว”

 

2. เหยื่อ..แห่งความหวังดี

“อดีตพระพรหมเมธี” หรือ “พระจำนงค์ ธมฺมจารี” เส้นทางชีวิตยามรุ่งโรจน์ “นักการเมือง-นักธุรกิจ” วิ่งเข้าหาไม่ต้องหยุดพักผ่อน ยามประสบภัย “คดีเงินทอนวัด” ดังเยี่ยง “พระพรหมดิลก-พระพรหมสิทธิ” ชีวิตต้องเร่ร่อนห่างเหินจากถิ่นกำเนิด “ลี้ภัย” การเมืองอยู่ประเทศเยอรมนี ในวัยชราใกล้ฝั่ง

ปัจจุบัน “อดีตพระพรหมเมธี” แม้จะมีความต้องการให้กลับมาใช้ชีวิตปั้นปลายในประเทศไทย ตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก “อดีตพระพรหมเมธี” เอง แต่เกิดมีกลุ่มกัลยาณมิตร 2 กลุ่มของอดีตพระพรหมเมธี ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็น “ผู้หวังดี” เกิดมีความเห็นต่าง คือ กลุ่มหนึ่งต้องการให้อดีตพระพรหมเมธีกลับมาแบบ “ห่มจีวร” ส่วนอีกกลุ่มเห็นว่าเพื่อมิให้ถูกครหา ควรให้อดีตพระพรหมเมธี “ห่มขาว” กลับมาสู่ประเทศแล้วเข้าสู่กระบวนยุติธรรม ความเห็นต่างของบุคคลทั้ง 2 กลุ่มทำให้อดีตพระพรหมเมธี ยังไร้วี่แววได้กลับมาสู่ประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้ “อดีตพระพรหมเมธี”  หรือ “พระจำนงค์ ธมฺมจารี” จึงควรได้รับการยกย่องตั้งฉายาว่า เหยื่อ..แห่งความหวังดี

 

3.อยากรวย..ต้องดิไอคอน อร่อยจนลืมกลับวัด

 “พระเมธีวชิโรดม” หรือรู้จักกันดีในนามปากกา “ว.วชิรเมธี”  เป็นพระนักวิชาการ นักคิด นักเขียน และนักบรรยายธรรม และเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล ผู้อุปถัมภ์ UNHCR ด้านสันติภาพ และเมตตาธรรม ด้วยความที่เป็นพระรุ่นใหม่ มีความรู้ระดับเปรียญธรรม 9 ประโยค มีเครือข่ายสื่อมวลชน ดารา และนักธุรกิจคอยอุปถัมภ์ ชื่อเสียงของ “ท่าน ว.วชิรเมธี” จึงโด่งดังมาก แต่เนื่องด้วยเป็น “พระนักพูด” และ “ชอบประดิษฐ์วาทกรรม” เช่นคำว่า “ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน-อร่อยจนลืมกลับวัด” จนกลายเป็นกระแสมีทั้งคนถูกใจและไม่ถูกใจ บางพวกกล่าวหาว่า “ฝักใฝ่การเมือง” คบแต่ “คนรวย” ล่าสุดเกิดกระแสมีคนจับผิดบริษัท “ The iCon ” และนำคลิปบรรยายายธรรม ณ บริษัทดังกล่าวของท่านที่พูดช่วงหนึ่งว่า “อยากรวย ต้องดิไอคอน” จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าท่าน ว.วชิรเมธีมีพฤติกรรมไม่เหมาะกับความเป็นพระ เนื่องจาก “อวยเกินงาม” และขณะเดียวกันบริษัทดังกล่าวก็ถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐโดยตั้งข้อหาว่าฉ้อโกงประชาชน ซ้ำศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงรายที่ท่านจำพรรษาอยู่ ก็ถูกตรวจสอบว่า “บุกรุก” ที่ดินของกรมป่าไม้ ในขณะที่ “ว.วชิรเมธี”  แก้ปัญหาการเผชิญหน้า ด้วยการไปอยู่ ณ ประเทศญี่ปุ่น ยังไร้วี่แววปรากฎตัว ณ ศูนย์ปฎิบัติธรรมไร่เชิญตะวัน

ด้วยเหตุนี้ “พระเมธีวชิโรดม” หรือ “ว.วชิรเมธี”  จึงควรได้รับการยกย่องตั้งฉายาว่า อยากรวยต้องดิไอคอน อร่อยจนลืมกลับวัด

 

4.โฆษกเงา มส.

“พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพยอม กลฺยาโณ”  เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.หวัดนนทบุรี นักเทศน์ฝีปากกล้า เวลาเกิดปรากฎการณ์เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับพฤติกรรมคณะสงฆ์สื่อมวลชน แทนที่จะสอบถาม “โฆษกมหาเถรสมาคม” ตัวจริงเสียงจริง จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่สื่อมวลหันไมล์ไปถาม “พระพยอม” ทุกเรื่อง และพระพยอมก็ตอบได้แทบทุกเรื่อง “สากกะเบือ ยานเรือรบ”  จนคนไม่รู้คิดว่า  “พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพยอม กลฺยาโณ”  เป็นโฆษกมหาเถรสมาคม

ด้วยเหตุนี้ “พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพยอม กลฺยาโณ”  เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.หวัดนนทบุรี จึงควรได้รับฉายาแห่งปีว่า โฆษกเงา มส.

 

5.นักสู้..ไร้สังกัด

พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา หรือ “พระครูปลัดธีระ เมตฺตธมฺโม” หรือที่มักถูกเรียกว่า “พระปีนเสาไฟ”  มุมหนึ่งนอกจากมีพฤติกรรมที่เป็น “โลกวัชชะ” คือ คำติเตียนจากสังคมแล้ว อีกด้านหนึ่ง “พระครูปลัดธีระ” คือ นักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม นักเรียกร้องเพื่อพระพุทธศาสนาตัวยง โดยแบบฉบับของตนเอง ยากใครลอกเลียนแบบได้  แต่เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า “ว่ายาก สอนยาก” จึงไม่มีเจ้าอาวาสรูปใดให้เข้าสังกัดวัด จนต้องเร่ร่อนย้ายไปตามวัดต่าง ๆ    จนกระทั้งปัจจุบันยังไม่มีใครรู้ว่า พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา หรือ “พระปีนเสา” สังกัดวัดไหนกันแน่

ด้วยเหตุนี้พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา หรือ “พระครูปลัดธีระ เมตฺตธมฺโม” จึงควรได้รับฉายาแห่งปีว่า “นักสู้.ไร้สังกัด”

 

6.ธรรมนาวา..ถูกปล่อยลอยทะเล

“พระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ” หรือ “พระอาจารย์ต้น” ต้นตำรับแห่งธรรมนาวา ปัจจุบันได้รับสมณศักดิ์ที่ “พระราชญาณวัชรชิโนภาส” ช่วงที่เดินสายบรรยายธรรมเป็นที่จับตาจากคณะสงฆ์และชาวพุทธเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า “สอนผิด” จากพระไตรปิฎก จนมหาเถรสมาคมต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อติวพระอาจารย์ต้น ตอนหลังเกิดกระแสข่าวว่าคณะสงฆ์ธรรมยุตต้นสังกัดพระอาจารย์ต้น “ไม่ปลื้ม” จนมีคำสั่งจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงรายเจ้าคณะปกครองพระอาจารย์ต้นห้าม “พระภิกษุธรรมยุต” พักตามสำนักปฎิบัติธรรม จนพระอาจารย์ต้นหรือ “พระราชญาณวัชรชิโนภาส” ต้องย้ายไปจำพรรษาจังหวัดอื่น กิจกรรมสอนธรรมของพระอาจารย์ต้นส่วนใหญ่จึงกำจัดอยู่เฉพาะในหน่วยงานราชการและวัดคณะสงฆ์มหานิกาย ในขณะที่คณะสงฆ์บางพวกก็มอง “ทิศทางลม” 

เหตุเหตุนี้ “พระราชญาณวัชรชิโนภาส” หรือ “พระอาจารย์ต้น” จึงควรได้รับฉายาแห่งปีว่า “ธรรมนาวา..ถูกปล่อยลอยทะเล

 

7. เซเว่น อีเลฟเว่น..สำหรับคนยากไร้

“พระมหาเขมานันท์  ปิยสีโล ป.ธ.9” วัดลาดปลาเค้า กรุงเทพมหานคร  เป็นพระนักสังคมสงเคราะห์ประชาชนตั้งแต่ยุคที่ประเทศไทยเกิดการแพร่ระบาดของโควิด -19 จนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยวัดลาดปลาเค้า ทำเป็นโรงทานเสมือนร้านโชห่วยหรือร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แจกจ่ายของกินของใช้ให้กับประชาชนข้างวัดและคนที่มาขอพึ่งได้ ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้วยเหตุนี้พระมหาเขมานันท์  ปิยสีโล ป.ธ. 9 จึงควรได้รับฉายาแห่งปีว่า เซเว่น อีเลฟเว่น..สำหรับคนยากไร้

 

8. พระภิกษุต้นแบบ..สำนึกรักบ้านเกิด

“พระครูใบฎีกาปัญญาวุฒิ วุฑฒิโก” หรือ “พระอาจารย์หมง” วัดอัมพวัน จ.ลพบุรี เป็นพระภิกษุไทยเชื้อสายรามัญสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต ที่อุทิศตนเพื่อรักษารากเหง้าและอัตลักษณ์ชุมชนมอญบางขันหมากนานนับ 20 กว่าปี  จนมีชื่อเสียงทั่วประเทศ ในนามประธานชมรมยุวชนไทยรามัญวัดอัมพวัน ท่านได้ขับเคลื่อนภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบรามัญ กอบกู้ฟื้นฟูความเป็นตัวตนของชาวรามัญ จนกลายเป็นแบบอย่าง “ต้นแบบ” ให้กับชุมชนชาวรามัญทั่วไปรวมทั้งชาติพันธุ์อื่น ๆ  ทั้งด้าน การแต่งกาย การละเล่น การร้องเพลง หรือแม้กระทั้งอาหาร ขนมพื้นบ้าน จนเป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ

ด้วยเหตุนี้  พระครูใบฎีกาปัญญาวุฒิ วุฑฒิโก หรือ “พระอาจารย์หมง” จึงควรได้รับฉายาแห่งปีว่า ..พระภิกษุต้นแบบ..สำนึกรักบ้านเกิด

 

9. นักบุญแห่งปี

“พระธรรมวชิรคุณาธาร” หรือ “หลวงพ่อเณร” วัดศรีสุดาราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระนักพัฒนาและนักสังคมสงเคราะห์ตัวยง ในอดีตนอกจากเป็นซ่อมแซมหอประชุมใหญ่พุทธมณฑล พิพิธิภัณฑ์ หมดงบประมาณไป 150 กว่าล้านบาทแล้ว ยังได้สร้าง “พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ ” กลายเป็นแห่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดนครนายก อีกนับร้อยล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นพระมหาเถระชอบสร้างโรงพยาบาลสงเคราะห์ผู้ยากไร้ เช่น “โรงพยาบาลราชพิพัฒน์” พุทธมณฑสาย 3 และล่าสุดได้สร้าง “โรงพยาบาลบุษราคัมจิตการุณย์” สายไหม อีกแห่งเพื่อสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ รวมมูลค่า 2 แห่งหลายพันล้านบาท นอกจากนี้ “หลวงพ่อเณร” หรือ “พระธรรมวชิรคุณาธาร” ยังได้ชื่อว่า “คนจริงของแผ่นดิน” เป็นคนรักพรรคพวก “ไม่ทิ้งพวกเดียวกัน” คำพูดนี้ “พระพรหมดิลก” วัดสามพระยา ยืนยันได้ในห้วยเวลาจำพรรษาอยู่ ณ เรือนจำ พรรคพวก “หนีหายหมด” เหลือแต่ “มิตรแท้” แบบหลวงพ่อเณรไม่คอยทิ้งให้โดดเดี่ยว

ด้วยเหตุนี้ “พระธรรมวชิรคุณาธาร” หรือ “หลวงพ่อเณร”  แห่งวัดศรีสุดาราม จึงควรได้รับฉายาว่า..นักบุญแห่งปี

 

10.บุคคลผู้น่าสงสารแห่งปี

“พระธรรมโพธิมงคล” หรือ “พระมหาสมควร ปิยลีโล ป.ธ. 9” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “เจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี” เจ้าคณะภาค 2 เป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่เคร่งครัดในพระวินัยตามแบบฉบับของพระรามัญ  ห่วงที่คณะสงฆ์เกิดวิกฤติคดีเงินทอนวัด ถูกส่งตัวไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หลังคดี “สิ้นสุดลง” พระพรหมสิทธิ ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” วัดสระเกศดั่งเดิม พระธรรมโพธิมงคล ต้องกลับไปอยู่วัดเดิม ซึ่งมีฐานะต่ำกว่า ขณะที่อยู่วัดสระเกศ สมณศักดิ์ก็ไม่มีเลื่อน ซ้ำการกลับไปสู่วัดเดิม “พระลูกศิษย์” ต้องสละลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ในขณะที่  “วัดสามพระยา -วัดสระเกศ”  ลูกศิษย์สำนักเดียวกันกลับไปดำรงตำแหน่ง “เจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ -วัดพระพุทธชินราช” ซ้ำบางรูปได้เลื่อนสมณศักดิ์ด้วย

ด้วยเหตุนี้ “พระธรรมโพธิมงคล” จึงควรได้รับฉายาว่า..บุคคลผู้น่าสงสารแห่งปี

Leave a Reply