เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เข้ากราบพระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ แม่กองบาลีสนามหลวง และกรรมการมหาเถรสมาคม ในโอกาสนี้ ดร.ณพลเดช ได้ศึกษาการทำบุญของประชาชนที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พบว่าประชาชนยังคงเข้ามาปฏิบัติธรรม สวดมนต์ และกราบสรีระของหลวงพ่อสดอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนจะลดลงจากในอดีต
อย่างไรก็ตาม ดร.ณพลเดช ได้มีโอกาสกราบสักการะพระพรหมโมลี และหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอดีตเจ้าคุณแย้มแห่งวัดไร่ขิง โดยได้รับข้อมูลอีกมุมหนึ่งเกี่ยวกับบทบาทของวงการคณะสงฆ์ ซึ่งวัดไร่ขิงถือเป็นหนึ่งในวัดที่มีบทบาทสำคัญ และอดีตเจ้าคุณแย้มเป็นพระสงฆ์ที่ทำงานด้วยจิตใจดี แต่ก็อาจมีข้อผิดพลาดบางประการ อย่างไรก็ตาม วัดไร่ขิงยังคงเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนงานด้านพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ในขณะนี้ พระพุทธศาสนากำลังเผชิญกับการถูกโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ ซึ่งแทบไม่มีใครออกมาปกป้องหรือให้ข้อมูลในเชิงบวก แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ที่มีกฎหมายคุ้มครองไม่ให้มีการนำเสนอข่าวในลักษณะที่สร้างความเสียหายต่อศาสนา อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่มีข้อกฎหมายลักษณะนี้ ส่งผลให้เมื่อเกิดความเสียหายแล้ว การฟื้นฟูและเยียวยาเป็นไปได้ยาก
ดร.ณพลเดช ได้ยกตัวอย่างกรณีของคณะกรรมการศาลยุติธรรมที่เพิ่งลงโทษผู้พิพากษา 3 รายให้ออกจากราชการฐานผิดวินัยร้ายแรง โดยชื่นชมถึงความรอบคอบและความรวดเร็วในการจัดการกับปัญหา ซึ่งในวงการสงฆ์ยังไม่มีระบบตรวจสอบที่ชัดเจนเช่นนี้ ดร.ณพลเดช จึงเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบกรณีต่างๆ ในวงการสงฆ์ โดยให้มีการตัดสินอย่างรวดเร็ว ก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เช่น ตำรวจ อัยการ หรือศาล
ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนมหาสมุทรที่มีคลื่นคอยพัดพาสิ่งไม่ดีออกไปจากมหาสมุทรให้ขึ้นฝั่ง ในอดีตมีเหตุการณ์จับสึกพระสงฆ์จำนวนมาก เช่น ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช ยุคแผ่นดินล้านนา เช่น สมัยพระเจ้าติโลกราช และพระเจ้ายอดเชียงรายแห่งเชียงใหม่ รวมถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งมีการสังคายนาวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการศึกษาและพระธรรมวินัย โดยวัดบวรนิเวศเป็นต้นแบบ และมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นเจ้าอาวาส และเป็นตำแหน่งพระสังฆราช
ดร.ณพลเดช ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการพิจารณากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีการควบคุมการนำเสนอข่าวที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนจำนวนมาก เช่น ข่าวอาชญากรรม หรือข่าวที่กระทบต่อศาสนา ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีข้อกฎหมายลักษณะนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเปิดกว้างในเรื่องเสรีภาพของสื่อ ซึ่งประเด็นนี้ควรได้รับการพิจารณาแก้ไข
สำหรับกรณีของอดีตเจ้าคุณแย้มแห่งวัดไร่ขิง ในทางธรรมวินัย การพนันถูกบัญญัติแยกไว้ในอบายมุข 6 ซึ่งไม่อยู่ในหมวดศีล หากอดีตเจ้าคุณแย้มใช้เงินส่วนตัว ก็จะไม่ถือว่าผิดตามหลักพระธรรมวินัย ส่วนในทางโลก หากภายหลังศาลพิพากษาว่าไม่ผิด ก็จะคล้ายกับกรณีของวัดสามพระยา วัดสระเกศ และกรณีพระพิมลธรรมแห่งวัดมหาธาตุในอดีต ซึ่งภายหลังมีการคืนสมณศักดิ์และศาลพิพากษาว่าไม่ผิด แต่ผลกระทบต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่สามารถประเมินค่าได้ ความเสียหายดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้ว และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของวงการสงฆ์
นอกจากนี้ งบประมาณที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสูงถึงหลายแสนล้านบาทในหลายหน่วยงาน สะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพขององค์กรด้านศีลธรรมให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ประเทศไทยในปัจจุบันมีจำนวนผู้ต้องคดีอาชญากรรมสูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 4 ของโลก
ดร.ณพลเดช เสนอข้อแนะเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ดังนี้
1. ปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โดยให้อำนาจมหาเถรสมาคมในการออกประกาศเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และกำหนดให้คณะสงฆ์ไม่ควรให้ข่าวในกรณีที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อวงการสงฆ์
2. จัดตั้งสภาองค์กรพุทธฝ่ายฆราวาส เพื่อสนับสนุนคณะสงฆ์ในการสอดส่องดูแล และช่วยประสานงานด้านสื่อในมิติที่ถูกต้อง
3. จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพระสงฆ์ที่มีบทบาทคล้ายกับคณะกรรมการยุติธรรม เพื่อตัดสินและชี้ขาดกรณีต่างๆ ก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
4. เสนอต่อรัฐบาลให้บัญญัติกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ เพื่อกำหนดกรอบการนำเสนอข่าวสาร ไม่ให้สร้างความเสียหายต่อสถาบันหลักของชาติ
5. กำหนดความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าว หากพบว่าข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์นั้นไม่เป็นความจริง ควรมีมาตรการเยียวยา
6. จัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกและวงการสงฆ์ ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ควรมีการสังคายนาอีกครั้งในรัชกาลปัจจุบัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความจำเป็นในการปกป้องพระพุทธศาสนาในบริบทของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของกฎหมายและองค์กรสนับสนุนศาสนาในการสร้างความมั่นคงให้กับพระพุทธศาสนาและศรัทธาของประชาชนไทย
Leave a Reply