“ผู้เขียน” กับ มหาเถรสมาคม ที่ผ่านมาคือ “ขมิ้นกับปูน” อุดมการณ์ทางความคิดและการกระทำในการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์หลายเรื่อง “เข้ากันไม่ได้” ผู้เขียนมองว่าคณะสงฆ์อ่อนแอ ไม่ทันต่อยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงของสังคม และมักเตือนอยู่เสมอว่า หากยัง “ยืนอยู่กับที่” แบบนี้ จะกลายเป็น “องค์กรล้าหลัง” ตามโลกไม่ทัน เมื่อตามโลกไม่ทัน สังคมก็จะทอดทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่รับเป็นภาระธุระอีกต่อไป!!
วิกฤติที่เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์ มันไม่ได้จบอยู่ที่อดีตพระภิกษุแค่ 13 รูปนั่นเท่านั้น “ปากชาวบ้าน” และชาวโชเซียลรวมทั้งสื่อมวลชนบางสื่อ บวกกับ “ชาววัด” บางคนนี้แหละ “จ้วงจาบ” ด้อยค่า คณะสงฆ์จนลามไปถึง “สมเด็จพระราชาคณะ” หลายรูป นอนหลับไม่สนิท เพราะในชีวิต “สมณเพศ” ไม่เคยแรงเสียดสีและเสียดทานแบบนี้มาก่อน!!

ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน กล่าวว่า เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งหรือฉลาดที่สุดที่จะอยู่รอด มิได้เกิดจากความเข้มแข็งหรือความฉลาด แต่เกิดจาก “การปรับตัว” ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ต่างหากจึงจะอยู่รอด
“ผู้เขียน” พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า คณะสงฆ์ทิ้ง “พระธรรมวินัย จารีตประเพณี” ที่เราสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แล้วจึงจะอยู่รอด แต่ทำอย่างไร การปรับตัว ปรับกระบวนทัศน์ จึงจะเข้ากับโลกสมัยใหม่ให้ได้โดยไม่ทิ้งหลักการเดิม!!
คณะสงฆ์ หลังจากเจอ “มรสุมพายุใหญ่” พัดกระหน่ำเข้าสู่ “องค์กร” พระภิกษต้องสังเวยชีวิตไปหลายรูป แม้ไม่ถึงกับพังแต่ เซและทรุด เป็นอย่างมาก สาเหตุหลักประการหนึ่งบ้านหลังนี้ ไม่ได้ “ซ่อมแซม” มานาน เพื่อนบ้านเขาพัฒนาเป็น “ตึก” กันหมดแล้ว แต่คณะสงฆ์ยังใช้ “หลังคามุงจาก” อยู่เลย
ฉันพลัน!! ที่เห็นมติมหาเถรสมาคม ซึ่งเปรียบเสมือน “คณะรัฐมนตรี” ฝ่ายศาสนจักร ว่าด้วยการแก้ “กฎนิคหกรรม” ผู้เขียนได้แต่ “อนุโมทนา”
คำอธิบายของ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามหาเถรสมาคม ที่ไล่เรียงมติมหาเถรสมาคมว่าด้วยการแก้กฎมหาเถรสมาคมไว้มี 8 ข้อ สาระความสำคัญ เช่น
– การแก้ไขกฎมหาเถรสมาคมทั้งสองฉบับในวันนี้ ยังคงรักษาหลักการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ที่กำหนดให้การวินิจฉัยอธิกรณ์และการลงนิคหกรรมเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ดำเนินการ ไม่ใช่ภาระธุระที่ฆราวาสหรือข้าราชการจะไปเป็นผู้ชี้ขาด หากแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเอื้อเฟื้อสนับสนุนในเรื่องพยานหลักฐานและการทำงานของคณะสงฆ์
หรือที่ว่า ในกรณีพระภิกษุทั่วไปกระทำผิด เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะภาคเป็นผู้ตัดสิน ถ้าเป็นกรณีพระสังฆาธิการ คือเป็นพระภิกษุผู้มีตำแหน่งในทางปกครอง เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะใหญ่เป็นผู้ตัดสิน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญคือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ หรือเป็นพระราชาคณะ เป็นหน้าที่และอำนาจของเถรสมาคมเป็นผู้พิจารณา
“เจ้าหน้าที่รัฐ” จะเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้กระทำผิด ต้องสละสมณเพศแล้ว แต่ผู้นั้นยังดื้อดึงไม่ปฏิบัติตาม ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานขอกำลังและอารักขาจากฝ่ายบ้านเมืองเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งนั้นเท่านั่น


Leave a Reply