มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ฟาดต่อ “ยุทธการล้วงย่ามพระ!!” ตอน 2 พร้อมฝากถึง มส. ขอให้หนักแน่นในธรรม

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ทนายอนันต์ชัย ไชยเดชประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม หลังจากวานนี้ได้โพสต์เฟชบุ๊ค ยุทธการล้วงย่ามพระตอน 1ไปแล้ว ล่าสุดวันนี้ได้โพสต์ ยุทธการล้วงย่ามพระ ตอน 2 โดยมีความว่า

“วัดจะร้าง ขุนนางจะผยอง เงินทองคือพระเจ้า คนเฒ่าจะกำพร้า จอมพาราจะหม่นหมอง พี่น้องจะเป็นศัตรูกัน ครูจะกลัวศิษย์ ผิดจะเป็นถูก ลูกจะล้างผลาญ คนพาลจะอหังการ์ คนบ้าจะเด่นดัง คนมีตังคือเทพเจ้า” เป็นคำทำนายของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดท่าซุง เหมือนท่านเห็นภาพในปัจจุบัน ผมอ่านแล้วก็หดหู่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า วิถีชาวพุทธในบ้านเรามาถึงยุค “ฝ่ายบ้านเมืองอ้างกฎหมายเข้า กวาดลานวัดพระสงฆ์องค์เณร โดยอาศัยช่องและจังหวะที่พระสงฆ์บางกลุ่มบางรูป (เท่านั้น) ละเมิดพระธรรมวินัย”

มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้รับสารจากพระมหาเถระซึ่งท่านเฝ้ามองและห่วงใยปรากฎการณ์ครั้งนี้ โดยท่านได้ปรารภว่า “ได้รับทราบจากวัดต่างๆ แล้ว เขาทำเกินกว่าเหตุ ไม่ให้เกียรติ ไม่มีความเคารพพระสงฆ์ บุกรุก ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล” ผมเห็นด้วยกับท่านครับ เพราะมูลนิธิทนายกองทัพธรรมก็รับเรื่องร้องเรียนจากพระสงฆ์เกือบทุกภูมิภาคที่แจ้งเรื่องเข้ามา ระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟังถึง “ ปฏิบัติการกวาดลานวัด” ดังกล่าว

ผมย้ำนะครับว่า “หากพระสงฆ์หรือใครที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ดำเนินการไปตามกระบวนการ” แต่ “หากเป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ถูกประโคมข่าวเกินจริง ยังแยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ ต้องให้โอกาสพระท่านชี้แจง การบีบบังคับกดดันและข่มขู่พระสงฆ์จะทำให้บ้านเมืองกลายเป็นยุคมืด เพราะอย่างไรเสียก็อย่าลืมว่า พวกท่านกำลังปะทะกับพระสงฆ์องค์เณรที่เป็นศาสนทายาทซึ่งครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยพระอรหันต์ และเป็นหนึ่งในสามของพระรัตนตรัย และเป็นหนึ่งในสามที่เป็นสถาบันหลักของชาติ” อย่าประเมินแบบเลยเถิดว่า “ พระทั้งสังฆมณฑลท่านชั่วร้ายและผิดศีลกันหมด” เพราะหากเป็นเช่นนั้นพระพุทธศาสนาคงไม่เหลือถึงยุคเราหรอกครับ พุทธเถรวาทผ่านการสังคายนามาถึง 9 ครั้ง ช่องว่างก่อนการสังคายนาก็คือ ความบกพร่อง ย่อหย่อน และการละเมิดพระวินัยของพุทธบริษัท แต่คนโบราณไม่ใช้วิธีกวาดล้างแบบที่ฝ่ายบ้านเมืองยุคนี้กำลังทำ แต่ท่านใช้วิธีสังคายนาพระไตรปิฎกและคณะสงฆ์เข้มงวดในเรื่องพระธรรมวินัยให้มากขึ้น ก็สามารถส่งต่อพุทธเถรวาทมาสู่ยุคต่อๆไปได้อย่างราบรื่นจนถึงกึ่งพุทธกาล โดยไม่ใช้วิธีหักโค่นและทำลายให้พระอยู่วัดไม่ได้แบบนี้ครับ

ดังนั้น พระส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดปัญหาละเมิดพระธรรมวินัยและเกี่ยวข้องกับฆราวาส และฆราวาสอย่างเราๆ (บางคน) นี่ล่ะครับ ที่ไปแสวงหาประโยชน์กับพระ จนเสียหายเกินเลยเป็นข่าวมัวหมอง ดังนั้น ตำรวจและฝ่ายบ้านเมือง “อย่าอาศัยเหตุนี้แล้วฉวยโอกาส รุกล้ำล่วงเกินเข้าไปในเขตพุทธาวาส สังฆาวาส พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพฤติการณ์ที่ย่ำยีพระสงฆ์องค์เจ้าส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งท่านไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยวไม่ข้องใดๆ กับเหตุการณ์มัวหมองที่เกิดขึ้นจากพระบางรูปบางกลุ่ม”

เมื่อวานผมพูดถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ กรณีตัดกิ่งทอนใบ ซึ่งพระมหาเถระท่านนี้ก็ได้ฝากเตือนสติพวกเราชาวพุทธเพิ่มเติมอีกว่า “การจะตัดกาฝาก กิ่งไม้ที่แห้ง หรือชำระส่วนเกินบนต้นไม้ ผู้ตัดจะต้องสำรวจและกระทำการด้วยความรอบคอบ รัดกุม ด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้ลำต้น กิ่ง ก้าน สาขา ดอกใบ ที่ดีกระทบกระเทือน หรือมีอันตรายใดๆ เลย ต้องพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ รัดกุม กระทำการด้วยหลัก “ #โยนิโสมนสิการ” จึงจะชอบด้วยเหตุผล เพื่อจะช่วยกัน ทำนุ บำรุง ส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง รักษา พระเณรที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ กระทำการให้เหมือนกับนายช่างกัลบก ตัดผมลูกค้า ตัดแล้วเท่ห์ สวยงาม และรักษาทรงของผมที่ผู้ตัดต้องประสงค์ จึงจะเป็นที่ชื่นชอบ ถูกใจ และเป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการ”

มูลนิธิทนายกองทัพธรรม ขอกราบนมัสการฝากไปยัง มหาเถรสมาคม ด้วยความเคารพ การจะออกมติมหาเถรสมาคม หรือคำสั่งใดๆ นั้น ขอให้พิจารณาให้แยบคายโดยโยนิโสมนสิการ อย่าเร่งร้อน รีบเร่งจนเกินไป ฟังความให้รอบด้าน ทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย จารีตประเพณีอันดีงามของไทย โดยพิจารณาหลักพระธรรมวินัยให้เป็นฐานรองรับ เพราะเมื่อท่านออกมติใดๆ แล้วย่อมมีสภาพบังคับแก่พระภิกษุสามเณรทั่วสังฆมณฑล หากมติหรือคำสั่งที่เขียนออกมาโดยผ่านที่ปรึกษาคณะต่าง ๆ แล้วไม่ชัดเจน คลุมเครือ หรือง่ายต่อการตีความโดยใช้ดุลพินิจทั้งที่เป็นคุณและโทษ เช่นนี้อันตรายต่อพระสงฆ์อย่างแน่นอนครับ เพราะจะมีคนใช้เป็นช่องว่างแล้วตีความเกิดขอบเขตแล้วไปสร้างปัญหาให้แก่พระสงฆ์ทั่วประเทศเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ “ผมเข้าใจครับว่าท่านต้องการปิดประตูบ้านเพื่อมิให้ขโมยหรือโจรบุกเข้ามา แต่การรีบเร่งในการออกมติหรือคำสั่งกลับมีผลร้าย เพราะท่านปิดประตูบ้านแต่ลืมปิดหน้าต่าง ซึ่งช่องหน้าต่างนี่ล่ะครับ ขโมยแอบย่องเข้ามาทำร้ายคนในบ้าน ฉันใด ก็ฉันนั้น” จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องพิจารณาให้รอบด้าน ถี่ถ้วน ภายใต้บริบทที่เป็นจริง “อย่าไปตื่นตระหนกกับตำรวจหรือฝ่ายบ้านเมืองจนเสียกิริยา เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ และมหาเถรสมาคมก็มีอำนาจตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 15 ตรี อย่างชัดเจน” แต่ต้องเป็นเอกภาพและเลือกที่จะฟัง “ที่ปรึกษาฝ่ายด้านต่างๆ” ให้ถี่ถ้วนและ “เลือกใช้บุคคลหรือคณะบุคคลมาเป็นที่ปรึกษาให้ถูกกับสถานการณ์ ซึ่งต้องได้คนซึ่งมีความรู้ความสามารถทั้งในด้านกฎหมาย พระธรรมวินัย และเข้าใจบริบทของวัดและเข้าใจวิถีความเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดถึงเข้าใจจารีตประเพณีอันดีงามของชาวพุทธเถรวาทของเราครับ”

ดังนั้น จึงกราบเรียนมายังมหาเถรสมาคมด้วยความเคารพว่า ขอพระคุณท่านหนักแน่นในธรรม ไม่ต้องไปกังวลกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนเสียกำลังใจ เพราะพุทธศาสนิกชนจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กของคณะสงฆ์เองครับ

Leave a Reply