วันที่ 22 สิงหาคม 2568 มีการแชร์บทความเฟชบุ๊คของ Somchet Mhin Jearanaisilpa เปรียบเทียบระหว่าง “วัดพระบาทน้ำพุ” กับ “วัดพระธรมกาย” มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ วัด 2 วัดนี้ โด่งดังมาในช่วงอายุของคน ๆ เดียว นั่นคือในยุคสมัยของเจ้าอาวาสเพียงรูปเดียว วัดพระบาทน้ำพุ คือ พระราชวิสุทธิประชานาถหรือ “หลวงพ่ออลงกต” วัดพระธรรมกาย คือ พระเทพญาณมหามุนี (สมณศักดิ์เดิม) หรือ หลวงพ่อธัมมชโย

วัด 2 วัดนี้ โด่งดังมาด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกันสุดขั้ว คือวัดหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา คือ รับดูแลผู้ป่วย HIV ตั้งแต่สมัยที่โรคนี้เพิ่งระบาดใหม่ๆและเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ ส่วนอีกวัดเน้นกิจกรรมเชิงรุกในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทุกด้าน ทั้งเยาวชน ครู ผู้ใหญ่และคณะสงฆ์ ซึ่งทั้ง 2 วัดล้วนต้องอาศัยการระดมทุนเป็นจำนวนมาก
วัดพระธรรมกายระดมทุนทั้งมากทั้งถี่และต่อเนื่อง จนวัดสามารถขยายงานไปอย่างมากมาย ปัจจุบันมีสาขาทั้งภายในและต่างประเทศมากกว่า 200 สาขา
วัดพระบาทน้ำพุ ก็ระดมทุนตลอดเวลาต่อเนื่องตลอดเวลา ในขณะที่จำนวนผู้ป่วย HIV เริ่มมีจำนวนน้อยลง สังคมเริ่มยอมรับผู้ป่วย HIV มากขึ้น ยาในปัจจุบันมีราคาถูกลง อัตราการเสียชีวิตน้อยลง
วัดพระธรรมกาย ทำอะไรบ้าง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ วัดพระบาทน้ำพุ ทำอะไรบ้าง คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ แต่ภาพที่เป็นภาพจำ คือ วัดพระธรรมกายเรี่ยไรตลอดเวลาและสอนวิชชาธรรมกาย(เข้าใจว่าไม่เหมือนใคร เป็นของแปลก ของใหม่) และวัดพระบาทน้ำพุก็เรี่ยไรตลอดเวลาเหมือนกันและดูแลรักษาผู้ป่วยเอดส์เป็นจำนวนมาก

หากสังคมไทยเปรียบเหมือนโรงละครใหญ่โรงหนึ่ง สื่อในประเทศก็คือ ผู้เขียนบทและผู้กำกับละคร ผลิตป้อนให้คนไทยทั้งประเทศเสพ วัดพระธรรมกายถูกสื่อมอบบทเป็นผู้ร้ายทำร้ายสังคม จนรัฐบาลที่เหมือนไม้หลักปักขี้เลน ยังต้องอินไปกับบทที่สื่อไทยผลิตป้อนให้ จนวัดพระธรรมกายถูกตรวจสอบ ถูกยัดเยียดคดีแทบทุกชนิดที่มีช่องกฏหมายให้ยัดคดีได้ จนแทบจะต้องปิดวัด แต่ก็ยังทำอะไรวัดพระธรรมกายไม่ได้ แต่ภาพจำบทผู้ร้ายก็ยังติดอยู่ในใจคนไทยส่วนใหญ่อยู่
ส่วนวัดพระบาทน้ำพุ สื่อมอบบทพระโพธิสัตว์ให้ วัดนี้จึงมีภาพลักษณ์อันงดงาม ผู้คนต่างมอบความรักความศรัทธาให้อย่างล้นหลาม เพราะคนไทยพื้นฐานเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาอยู่แล้ว จึงอินกับละครที่มีพล็อตเรื่องขายความน่าสงสารแบบวัลลีหรือดาวพระศุกร์ รายการทีวีที่ขายความน่าสงสาร ขายความน่าเวทนา จึงเป็นรายการที่เรียกเรตติ้งได้ดีเสมอมา
ปรากฏการณ์ 2 เหตุการณ์นี้ สามารถฟันธงได้อย่างดีว่า สังคมไทยเราเป็นสังคมฉาบฉวย ถูกชี้นำได้ง่าย คนไทยขาด Critical Thinking คือขาดการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ บางคนถูกเสี้ยมให้เกลียดวัดนั้น เกลียดคนนั้น เกลียดพรรคการเมืองนั้น เกลียดประเทศนั้น ฯลฯ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักอะไรเขาอย่างแท้จริงเลย
ตอนนี้วัดพระบาทน้ำพุกำลังถูกสื่อรุมขุดคุ้ย ขยี้ ขย้ำ ตรวจสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย จนลืมไปว่าตัวเองนั้นแหล่ะที่เป็นผู้สร้างกระแสความศรัทธาให้วัดนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่เคยตรวจสอบให้ดีก่อนว่าอะไรผิดอะไรถูกอะไรควรอะไรไม่ควร(ผ่านไป 30 ปี เพิ่งจะมาขุดคุ้ยกันตอนนี้) ซึ่งก็เหมือนกับที่ต่างรุมขย้ำวัดพระธรรมกายโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก่อน จนวัดพระธรรมถูกทั้งมาตรการทางกฏหมายและมาตรการทางสังคมเล่นงานจนปางตาย


Leave a Reply