ไปงานสวดอภิธรรมนึกถึง “คุณแม่ดอกบัวคู่”

“ผู้เขียน” ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมโยมแม่ของ พระมหาเขมานันท์ ปิยลีโล ป.ธ. 9  เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า ในนาม “มจร รุ่น 46”  พร้อมกับเพื่อน ๆ มีทั้งพระคุณเจ้าและฆราวาส

สำหรับพระมหาเขมานันท์ ปัจจุบันนอกจากเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านยังเป็นเจ้าคณะเขตลาดพร้าวด้วย ท่านเป็นพระ “ดีศรีสังคม”  มีหัวใจดัง “พระโพธิสัตว์” บำเพ็ญตนเพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนและสังคมรอบวัด  โดยไม่เห็นแก่ความยากลำบาก เปิดวัดให้เป็น “7-11” เป็นที่พึ่งให้กับคนยากจน คนทุกข์ลำบาก ใครมาขอพึ่งได้หมด ไม่เลือกเพศ วรรณะ หรือ ชาติ ศาสนา

พวกเราในรุ่น 46 รู้สึกภูมิใจและดีใจที่เห็นบทบาทของท่าน ในยามที่สถาบันสงฆ์ต้องการ “กู้ภาพลักษณ์”  ท่านสามารถ “ตอบโจทย์”  คำถามที่ว่า พระสงฆ์มีไว้ทำไมได้เป็นอย่างดี..

“ผู้เขียน” โดยปกติทั่วไปงานกลางคืนแบบนี้ ไม่ค่อยได้ออกเดินทางไปไหน เนื่องจาก “สายตา” ไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยได้ฟังพระสวดอภิธรรมเหมือนคนอื่นเขา จึงไม่รู้ว่า “วัดลาดปลาเค้า” ปัจจุบันเวลาสวดงานศพเขามีแบบแปลด้วย ซึ่งหากตั้งใจฟังการสวดพระอภิธรรมทำนองสวดและคำแปล เพื่อให้ตกอยู่ในก้นลึก “หัวใจ” จะได้อรรถรส ในคำแปลมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “ไตรลักษณ์” อันได้แก่ 1. อนิจจัง ความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ ความไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมและสลายไป   2. ทุกขัง ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว ภาวะที่กดดัน ฝืนและขัดแย้ง และ  3. อนัตตา ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร

“ผู้เขียน” ฟังสวดพระอภิธรรมแปลแล้วทำให้นึกถึง นางสุนันทา ลีเลิศพันธ์  หรือ  “คุณแม่ดอกบัวคู่”  เพราะเธอเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ดอกบัวคู่  คุณแม่ดอกบัวคู่เธอใฝ่ธรรมะและปฎิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เธอมักโทรมาหาผู้เขียนเพื่อปรึกษาหารือว่า

ทำอย่างไร!!  คนเป็นจึงจะได้ธรรมะกลับบ้าน เวลาไปงานศพ โดยหัวใจสำคัญคือ ทำอย่างไร พระจึงสวดพระอภิธรรมแล้วมีคำแปล ไม่ใช่สวดด้วยภาษาบาลีล้วน ๆ ซึ่งเธอมองว่า คนเป็นที่ไปร่วมงานศพ ไม่ได้ปลงอะไรและคุยกันเสียงดัง คนไม่ตั้งใจฟัง เนื่องจากฟังไม่ออก!!

“คุณแม่ดอกบัวคู่” เธอพยายามเรื่องนี้มากโดยให้ผู้เขียนทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนบ้าง สมเด็จพระสังฆราชบ้าง มหาเถรสมาคมบ้าง หรือแม้กระทั้งเธอเดินทางไปทำเนียบขอให้ “รัฐบาลช่วย” ประสานกับมหาเถรสมาคม

“ผู้เขียน” แม้จะอธิบายให้เข้าใจว่า ทำได้ยาก อันเนื่องมาจากเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ และวัดแต่ละวัด ท่านก็มีจารีตประเพณีสวดแบบของตนอยู่ และสำคัญ“มหาเถรสมาคม” คงไม่เอาด้วย เพราะหากมี “มติ” ออกไป กระทบ “วงกว้าง” และพระภิกษุผู้สวดจะ “เดือดร้อน” กันหมด เพราะต้องท่องจำกัน เอาเป็นว่า วัดไหน สะดวกแบบไหน ก็สวดแบบนั้น  เช่น บางวัดสวดด้วยภาษาบาลีล้วน บางวัดสวดบาลีด้วยแปลด้วยดังวัดลาดปลาเค้า หรือบางวัดสวดบาลีแล้วมีเทศน์สลับกันไป..

“ผู้เขียน” เขียนเล่าเพื่อให้คณะสงฆ์และชาวพุทธ ได้เห็นว่า คุณแม่ดอกบัวคู่ เธอมีความตั้งใจแบบนี้ และคิดว่าคงมี “อุบาสก-อุบาสิกา” อีกหลายคน ตั้งใจดี คิดดี ทำดี เพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาและเพื่อให้ “หลักธรรม” เข้าถึงชาวพุทธได้อย่างแท้จริง!!

สุดท้าย..ก็เป็นดังคาดหนังสือส่งไปยังสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อเสนอมหาเถรสมาคม ..เงียบกริบ!!

Leave a Reply