ปาฐกถาธรรม “องค์ชายลามะน้อย” สุดซึ้งประทับใจยิ่ง!!

วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  สมเด็จพระไวโรจนะ รินโปเช (องค์ชายลามะน้อย) His Eminence Vairochana Rinpoche Jigme Jigten Wangchuk แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เดินทางมาปาฐกถาธรรม แก่ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยมี พระพรหมวัชรธีราจารย์ คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ถวายการตอนรับ

สมเด็จพระไวโรจนะ รินโปเช วัย 13 ชันษา ได้แสดงปาฐกถาธรรม เป็นที่น่าประทับใจ มีความว่า

สวัสดีทุกท่าน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเริ่มแสดงปาฐกถาธรรมในวันนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง และน้อมถวายความเสียใจต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และปวงชนชาวไทยที่รักยิ่ง ในการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง

สมเด็จพระพันปีหลวงผู้ทรงล่วงลับไปแล้ว มิได้ทรงเป็นเพียงพระมารดาอันเป็นที่รักยิ่งของชนชาวไทยเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นประดุจดั่งศูนย์รวมแห่งพระเมตตากรุณาอันเปี่ยมล้น และพระสง่างามอันมั่นคงไม่สั่นคลอน

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันประนมมือ และน้อมจิตสวดมนต์ถวายแด่พระองค์ท่านพร้อมกัน ณ บัดนี้ กราบเรียนพระมหาเถรานุเถระ ผู้ทรงสมณศักดิ์ ซึ่งมีท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี คณาจารย์ นักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิ บูรพาจารย์ของข้าพเจ้า และกัลยาณมิตรทางธรรมที่เคารพรักทุกท่าน

วันนี้ ข้าพเจ้าได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่ง ที่ได้มาสนทนาธรรมกับท่านทั้งหลาย มิใช่ในฐานะครูบาอาจารย์ หากแต่ในฐานะนักเรียนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ท่ามกลางครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิปัญญา นักวิชาการผู้รู้รอบ และเพื่อนร่วมทางผู้แสวงหาสัจธรรม

เมื่อครั้งข้าพเจ้าเยาว์วัยกว่านี้เล็กน้อย ข้าพเจ้าเคยเฝ้ามองคุณปู่ให้อาหารนก ณ นอกเรือนไม้ของท่าน ท่านโปรยเมล็ดพืชลงบนพื้นหญ้า และในไม่ช้า นกมากมายก็โบยบินเข้ามากิน แต่แทนที่จะจิกกินร่วมกัน พวกมันกลับต่อสู้ แก่งแย่ง ไล่จิก และตีปีกด้วยความโกรธ คุณปู่ของข้าพเจ้าเพียงยิ้ม และกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าจงพิจารณาให้ดี พวกมันต่อสู้กัน โดยไม่รู้เลยว่า อาหารนั้นมีเพียงพอสำหรับทุกชีวิต”

ข้าพเจ้าไม่เคยลืมห้วงเวลานั้นเลย และตระหนักได้ว่า มนุษย์เราก็มักจะเป็นเช่นเดียวกัน เราต่อสู้เพื่อแย่งชิงแผ่นดิน เพื่อความเชื่อ เพื่ออำนาจ หรือแม้กระทั่งเพื่อพระธรรมคำสอนเอง ราวกับว่าพระธรรมนั้นผูกขาดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว พระธรรมก็เปรียบเสมือนเมล็ดพืช ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ เกินกว่าที่จะหล่อเลี้ยงสรรพสัตว์ทั้งปวงได้

สัพพัญญูญานของครูบาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในทุกนิกายประเพณี ล้วนชี้ไปยังความจริงที่เรียบง่ายข้อหนึ่ง นั่นคือ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนปรารถนาความสุข และปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ เมื่อเราน้อมนำความจริงข้อนี้มาไว้ในดวงใจ ความแตกต่างแบ่งแยกก็จะหมดความหมาย ใบหน้าของคนแปลกหน้าจะกลับกลายเป็นคุ้นเคยยิ่งขึ้น กลายเป็นใบหน้าของพี่น้องร่วมสายใย พ่อแม่ หรือเพื่อนสนิท

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การสอนที่แท้จริงมิได้อยู่ที่ถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ หากแต่อยู่ในการกระทำที่เล็กน้อย เรียบง่าย และเป็นปรกติวิสัย นั่นคือ การตั้งใจรับฟังด้วยความเมตตา การมีความอดทนต่อความเจ็บปวดของผู้อื่น การแบ่งปันสิ่งที่เรามีเพียงน้อยนิดให้แก่กัน สิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือพระธรรมที่แท้จริง ที่ดำรงอยู่และมีชีวิตชีวาในความคิดและการกระทำของเรา

ข้าพเจ้ายังได้เรียนรู้ว่า การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ คือการสวดมนต์ภาวนาที่บริสุทธิ์ที่สุด การปกป้อง การยกระดับชีวิตจิตใจ และการปลอบประโลมผู้ที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ สิ่งเหล่านี้มิได้อยู่นอกขอบเขตของการปฏิบัติในศาสนธรรมของเราเลย หากแต่เป็นแก่นสารและหัวใจของศาสนธรรมนั้น เมื่อเราปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น เราก็คือการปรนนิบัติรับใช้พระพุทธภาวะภายในตัวเรานั่นเอง

เมื่อเราตระหนักรู้เช่นนี้แล้ว ความปิติยินดีของผู้อื่นก็จะกลายเป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยงเรา ความโศกเศร้าของผู้อื่นก็จะกลายเป็นเสียงเรียกแห่งความเมตตากรุณา เรามิได้เพียงแค่เชื่อมโยงกันเท่านั้น หากแต่เราถักทอเข้าหากัน ประดุจดั่งสายใยของผืนผ้าผืนเดียวกัน
ดังนั้น ข้าพเจ้าขอถวายสัจจาธิษฐานเล็กๆ น้อยๆ นี้

“ขอให้การกระทำร่วมกันของเรา จงส่องสว่างความมืดมิดแห่งอวิชชา นำมาซึ่งแสงแห่งปัญญาแก่โลกที่กำลังประสบทุกข์ และขอให้หัวใจของเราจงเบิกบานกว้างขวาง เพียงพอที่จะโอบอุ้มรักสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เราทุกคนล้วนเป็นผู้จาริกธรรมร่วมกันบนมรรคาอันยิ่งใหญ่แห่งการตื่นรู้ ขอให้เรายึดมั่นในสาระอันเป็นอมตะของพระพุทธองค์เสมอไป นั่นคือ การเลือกความเมตตากรุณาเหนืออหังการ ความเป็นเอกภาพเหนือความแตกแยก ความรักเหนือความเกลียดชัง และแสงสว่างแห่งปัญญาเหนือความมืดบอดแห่งอวิชชา“

Leave a Reply