สมานาค ‘โม่น-มอญรามัญ’ …สิ้นแผ่นดิน แต่วัฒนธรรมไม่เคยสูญสิ้น…

สมานาค ‘โม่น-มอญรามัญ’ …สิ้นแผ่นดิน แต่วัฒนธรรมไม่เคยสูญสิ้น…บุญประเพณีมอญโบราณบนแผ่นดินสยาม ณ ชุมชนมอญกระทุ่มมืด

โม่น-มอญ-รามัญ แม้ว่าจะไม่ปรากฏชื่อบนแผนที่โลก แต่ในประวัติศาสตร์มอญนั้นก็มีความยิ่งใหญ่ และมั่งคั่งมากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียอาคเนย์ เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองทำให้ทุกวันนี้ ลูกหลานชาวรามัญที่ยิ่งใหญ่ในอดีตไม่มีผืนแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศเป็นของตนเอง

แต่ทว่าชาวมอญกลับดำรงรักษาจารีต ประเพณี วัฒนธรรม ในการดำเนินชีวิตในแผ่นดินอื่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการสืบทอด และดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์แห่งชนชาติมอญ ได้ยาวนานตราบทุกวันนี้คือ “พิธีกรรมทางศาสนา”

คติความเชื่อทางพุทธศาสนาของชาวมอญเรื่องการบวชก็เป็นเช่นเดียวกับคนไทย คือ “เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ต้องบวชพระเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ และศึกษาพระธรรมวินัย”

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ “การแต่งตัวของนาคมอญ” ผู้ที่ไม่รู้และไม่เคยเห็นมาก่อน หากไปร่วมงานบวชพระของชาวมอญอาจจะเข้าใจ ว่า “…ผู้ที่บวชพระเป็นสาวประเภทสองหรืออย่างไร ถึงต้องแต่งตัวด้วยผ้าสไบ นุ่งโจงกระเบน แต่งหน้า ทาปากด้วยสิปสติกสีแดงเข้ม ใส่ต่างหู สวมกำไลขา…”

 

พระอธิการวิเชียร กตปุญโญ ปี เจ้าอาวาสวัดสโมสร ต.ไทรใหญ่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ซึ่งมีเชื้อสายมอญ บอกว่า การแต่งตัวของนาคมอญนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีคติความเชื่อที่ว่าการบวชนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ในขณะที่กว่าจะบวชนั้น พ่อแม่ต้องใช้เวลาเลี้ยงดูถึง ๒๐ ปี ดังนั้นเมื่อบวช เวลาบวชก็ต้องแต่งตัวนาคให้สวยงามสมกับการรอคอยมา ๒๐ ปี ซึ่งคล้ายๆ กับการบวชนาคของภาคอื่นๆ ที่มีการแต่งตัวนาคให้สวยงามเช่นกัน

การแต่งตัวของนาคมอญนั้น ในอดีตจะแต่งตั้งแต่วันสุกดิบใหญ่ โดยแต่งตัวต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ไปขอขมาญาติผู้ใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ รวมทั้งทำบุญเลี้ยงพระ ระหว่างแห่นาคไปวัดในวันบวชนั้นยังคงแต่งชุดสวยอยู่ ทั้งนี้จะโกนผมก็ต่อมื่อจะแห่นาครอบโบสถ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้จะแต่งเฉพาะในวันสุกดิบใหญ่เท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมากสำหรับชุมชนมอญหลายแห่ง ที่ถือเอาความสะดวกเข้าว่า การแต่งตัวก็จะเป็นเช่นเดียวกับนาคไทย

“การบวชนาคมอญของวัดสโมสร ที่ยังคงรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น คือ ไม่ว่าใครจะมาบวชพระหรือเณรที่วัดสโมสร ต้องกล่าวคำขอบวช (คำขานนาค) เป็นภาษามอญเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็ลลูกเจ๊ก ลูกไทย หรือว่าลูกลาวจะต้องมาท่องคำขอบวชเป็นภาษามอญเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อบวชแล้วการให้ศีล รวมทั้งการสวดมนต์ทำวัตรก็ยังเป็นภาษามอญด้วย พระบางรูปบวชได้เกิน ๑ พรรษา นอกจากได้ความรู้ทางธรรมก็ยังพูดภาษามอญได้ด้วย” พระอธิการวิเชียร กล่าว

พร้อมกันนี้พระอธิการวิเชียร ยังบอกด้วยว่า เรื่องอาหารการกินของชาวมอญในชุมชนกระทุ่มมืดที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นมอญไว้อย่างเหนียวแน่น อาหารที่ยังคงทำรับประทานในวิถีชีวิตประจำวัน มีอยู่ ๔ คือ

๑.แกงมะตาด หรือที่ภาษามอญเรียกว่า ฟ๊ะฮะเปร้าว ๒.แกงกระเจี๊ยบ หรือที่ภาษามอญเรียกว่า ฟ๊ะฮะเจ่บ (แกงด้วยใบกระเจี๊ยบแดงและกระเจี๊ยบฟัก) ๓.แกงเลียงมันมือเสือ หรือที่ภาษามอญเรียกว่า ฟ๊ะเชีย และ ๔.ขนมจีน หรือที่ภาษามอญเรียกว่า ฮะนอม ส่วนอาหารอื่นๆ ก็จะเป็นเช่นเดียวกับคนไทยในภาคกลาง

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาหารมอญที่นิยมทำกันในช่วงสงกรานต์ ก็คือ ขนมกะละแม หรือที่ภาษามอญเรียกว่า ฟานหะกอ (ขนมกวน) และข้าวแช่ หรือ ข้าวสงกรานต์ คนมอญเรียกว่า “เปิงด้าจก์” ที่แปลว่า ข้าวน้ำ

โดยเฉพาะข้าวแช่นั้นเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม มีขั้นตอนในการทำค่อนข้างพิถีพิถัน ใช้เวลาในการจัดเตรียมมาก และเมื่อปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะต้องนำไปถวายบูชาต่อเทวดา จากนั้นจะนำไปถวายพระและแบ่งไปส่งผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เหลือจากนั้นจึงจะนำมาตั้งวงแบ่งกันกินเองภายในครัวเรือน

ชุมชนมอญกระทุ่มมืด

ชุมชนมอญต่างๆ ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ประจวบ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี นครราชสีมา ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

ชุมชนมอญกระทุ่มมืด ตั้งอยู่ระหว่างคลองขุนศรี อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และคลองบางภาษี อ.บางเลน จ.นครปฐม ต้นตละกูลของชาวมอญกระทุ่มมืด ถือกำเนิดมานับได้กว่าศตวรรษ ชาวมอญ จากพระประแดง และสมุทรสาคร ไปหักล้างถางพง ทำนา และตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เรียกว่า กระทุ่มมืด ที่มาของซื้อ กระทุ่มมืด เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มมีอาณาบริเวณกว้าง มีต้นกระทุ่มขึ้นเต็มไปหมด เป็นดงกระทุ่มที่กินพื้นที่ ของ อ.บางเลน จ.นครปฐม และ อ.บางบัวทอง (ต่อมาแยกไปเป็น อ.ไทรน้อย) จ.นนทบุรี ชาวมอญบริเวณนี้จึงเรียกว่า มอญกระทุ่มมืด

วัดรามัญ หรือ วัดมอญ ในชุมชนมอญกระทุ่มมืดสร้างไว้มีถึง ๗ วัด คือ ๑.วัดหม่อมแช่ม (วัดสโมสร) ๒.วัดยอดพระพิมล ๓.วัดไทรน้อย ๔.วัดราษฎร์นิยม ๕.วัดบึงลาดสวาย ๖.วัดเกษตราราม และ ๗.วัดบอนใหญ่ โดยแต่ละวัดจะมีเสาหงส์ตั้งเด่นตระหง่านอยู่หน้าวัด ที่แสดงว่าเป็นวัดมอญ

ส่วนวัดมอญที่กระจายอยู่ตามชุมชนต่างๆ มีอยู่กว่า ๑๐๐ วัด ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในสมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร

Leave a Reply