“มหานิกาย” หลังสิ้น 3 สมเด็จ

ข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบอกว่า ตอนนี้ประเทศไทยมีวัด 42,626 วัด มีพระสงฆ์ 205,513  รูป และสามเณร 33,510 รูป แบ่งออกเป็น “วัดคณะธรรมยุต” ประมาณ 3,000 พันกว่าวัด ส่วน “คณะสงฆ์ธรรมยุต” มีประมาณ 30,000 หมื่นกว่ารูป

นอกนั้นเป็น “คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย” ทั้งหมด จะเห็นว่าจำนวนคณะสงฆ์มหานิกายเกือบ 2 แสนรูป แต่ยุคนี้เป็นยุค “คนกลุ่มน้อย” ปกครองคนส่วนมาก

“เปรียญสิบ” บวชเรียนในยุคที่ฝ่ายมหานิกายกำลังเฟื่องฟูและรุ่งโรจน์ ทั้งการปกครองและการศึกษา ร่วมทั้งเผยแผ่และการส่งพระธรรมทูต-วัฒนธรรมไทย ไปยังนานาชาติ

แต่หลังประเทศไทยสิ้น “เสาหลัก” อย่าง สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม, สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ และ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ

คณะสงฆ์มหานิกาย ก็ “แตกแยก” ชิงดีชิงเด่น วิ่งเต้นขอตำแหน่ง แย่งตำแหน่ง  “พี่ฆ่าน้อง-น้องฆ่าพี่” เพื่อนที่เคยทำงานร่วมกัน เติบโตมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน เคยร่วมฉันข้าวบาตรเดียวกันมา ก็ถูกชนชั้นอำนาจ “แหย่” ล่อด้วย “ตำแหน่ง-สมณศักดิ์” ยุให้แตกแยก ให้ทะเลาะกันเอง เพราะชนชั้นอำนาจเขารู้นิสัยความต้องการ “ไพร่”

เข้าทำนอง “แบ่งแยกแล้วปกครอง” เกมหมาก การเมืองอย่างไร คณะสงฆ์ก็ถูกใช้แบบนั้น

สวนทางกับ “หลักธรรม” สวนทางกับ “คำสั่งสอน” ของ “พระสมณโคตม” ไปหมดสิ้น

ยุค “3 พระสมเด็จ” ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จนิยม-สมเด็จเกี่ยว-สมเด็จช่วง” สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้ง 3 รูป มิได้เป็นแค่ “เสาหลัก” ธรรมดา แต่เป็น “กำแพงชั้นดี” ป้องกันมิให้อำนาจนอกระบบ ที่จะเข้ามา “รังแก-แทรกแซง” คณะสงฆ์ทั้งมวลด้วย “จดหมายน้อยใหญ่” ไม่ว่าชนชั้นไหน ผิดพระวินัย กฎมหาเถร “ถูกปฎิเสธหมด”

ท่านเหล่านี้มีหลัก “พระธรรมวินัย-หลักกฎหมาย-จารีตประเพณีปฎิบัติ” เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปกป้องและคุ้มครองผู้ใต้บังคับบัญชา ปกป้องและคุ้มครองกิจการพระพุทธศาสนา ท่านเหล่านี้มีหลักในการ “การครองตน-ครองคน-ครองงาน”

ยุคนี้!! บรรดาพระสมเด็จฝ่ายมหานิกายเท่าที่มีอยู่ คนแวดวงคณะสงฆ์ “รู้ลึก-รู้ชัด” อยู่แล้วว่า แต่ละรูปเป็นมา อย่างไร

ความเคารพน่าเชื่อถือ มันจึงไม่มี มันจึงไม่เกิด มันจึงปกครองกันยาก ว่ากันยาก คุมยาก ยิ่งพระสมเด็จบางวัดไม่มี “สำนักเรียน” ไม่มีระบบสาย “ลูกศิษย์-อาจารย์”

การปกครองคณะสงฆ์ทุกวันนี้มันจึง “อ่อนแอ” กลายเป็น “เกียร์ว่าง” ต่างคนต่างอยู่ กิจการพระพุทธศาสนาตามภารกิจของมหาเถรสมาคมทั้ง 6 ภารกิจมันจึง “เดี้ยง”

ไม่เหมือนยุค 3 สมเด็จดังกล่าวไว้ข้างต้น ทั้ง 3 สมเด็จ ครองวัดที่เป็นสำนักเรียนบาลีใหญ่ เมื่อลูกศิษย์จบการศึกษาหรือมีแวว แม้ไม่จบก็ส่งกลับไปเป็นเจ้าอาวาสบ้าง เจ้าคณะอำเภอบ้าง ไปทำงานรับใช้ “พระพุทธเจ้า” กลับดูแลวัด ดูแลชุมชนและญาติโยม กิจการพระพุทธศาสนา การปกครองคณะสงฆ์ มันจึง “ราบรื่น” และ “รุ่งเรือง”

ขอย้ำ!! ส่งกลับไปดูแลวัดถิ่นกำเนิดตนเอง มิใช่ไป “แย่งวัด” ดังที่มีปรากฎการณ์ที่ชาวพุทธวิจารณ์กันทุกวันนี้

@ยุคนี้เป็นยุคตกต่ำของมหานิกาย

อยากเห็นพระสมเด็จฝ่ายมหานิกายยุคนี้ เดินและเจริญตามรอยพระบุรพาจารย์ฝ่ายมหานิกายทั้ง 3 รูปที่กล่าวไว้ข้างต้น

ถามว่า “สมเด็จพระพุฒาจารย์” ดูแลภาคอีสาน ระยะ 1-2 ปีมานี้ คณะสงฆ์ประสบปัญหาวิกฤติการเป็นอยู่ เคยไปเยี่ยมเยียน สร้างขวัญกำลังใจบ้างหรือไม่ ซ้ำมีข่าว เรื่อง “พฤติกรรมคนใกล้ชิด” ไม่รู้ดีนัก??

ถามว่า “สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี” ดูแลภาคกลาง นอกจากไปกิจนิมนต์ไปเจิมป้าย ประธานจุดเทียนชัย เปิดงานแล้ว เคยไปในเยี่ยมเยือนถิ่นห่าง “ไกลปืนเที่ยง” บ้างหรือไม่ ไปดูไปถามผู้ใต้บังคับบัญชา เขาอยู่กันอย่างไร เดือดร้อนอะไรบ้าง เพื่อร่วมกันช่วยเหลือผ่าน “กองทุนต่างๆ” ของมหาเถรสมาคม

เจ้าคุณสมเด็จต้องรู้ว่าท่านมี “จุดอ่อน” อย่างไร ท่านต้องรู้ว่าชาวพุทธเขา “คาดหวัง” อะไรจากท่าน ท่านต้อง “สร้างบารมี” ให้คณะสงฆ์และชาวพุทธยอมรับ

ส่วนภาคเหนือ “พระพรหมโมลี” ดูแลอยู่ ณ ตอนนี้ ต้องขึ้นไปบ้าง ไปดูแลบ้าง บางวัด บางจังหวัด เขาไม่ต้องการเงินหรือไม่ต้องการตำแหน่งอะไร แต่เขาต้องการเห็นหน้า “เจ้านาย” พระคุณเจ้าต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้ “มดงาน” เหล่านี้ ยิ่งตอนหลัง ๆ มานี้คณะสงฆ์มิได้พิจารณาเรื่อง “สมณศักดิ์” เรื่อง “ตำแหน่งทางปกครอง” ทุกปีเหมือนอดีตที่ผ่านมา พระคุณเจ้าย่อมรู้ดีว่า มันรู้สึกอย่างไร!!

ส่วนภาคใต้ “เจ้าคณะหนใหญ่” วัย 90 กว่า คงหมดสภาพที่จะเดินเหินไปไหนแล้ว ท่านประสงค์ลาออกหลายครั้งแล้ว “สังฆบิดร” ในฐานะประธานมหาเถรสมาคมต้องหาทางออก!!

ส่วนอีกรูปคือ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” ขอให้คณะสงฆ์และชาวพุทธยกไว้ “บนหิ้ง”

สำหรับ “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” แม้ไม่มีตำแหน่งทางปกครอง แต่ท่าน “แอคชั่น” หลายเรื่อง ทั้งเรื่อง สาธารณะสงเคราะห์ เรื่องการต่างประเทศ พอทำให้คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายมี “ชีวิตชีวา” ขึ้นมาบ้าง

นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณหรือไม่เจ้าคุณ เป็นบัณฑิต หรือไม่เป็นบัณฑิต

ต่างคนต่างเอาตัวรอด ต่างคนต่างวิ่ง หากตัวเองไม่ได้ประโยชน์..เกียร์ว่างหมด!!

…………………

 

คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง

โดย….“เปรียญสิบ” : [email protected]

Leave a Reply