“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ แต่เดิมมาข้าพเจ้าได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส และได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยวิธีนั้น ๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าได้เถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว จึงขอมอบตัวแด่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จะได้รับการจัดการให้ความคุ้มครองรักษาพระพุทธศาสนาโดยชอบธรรมตลอดไป ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงจำไว้ด้วยดีว่า ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนูปถัมภกเถิด”
นี่คือ พระราชดำรัสประกาศเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนขึ้นพระบรมราชาภิเษก

นับตั้งแต่บัดนั้นมาหากชาวพุทธติดตามและสังเกตพระราชกรณียวัตรหรือ พระราชกรณียกิจ จะทราบและเห็นได้ว่าพระองค์ก็ทรงยึด “พระราชดำรัส” นี้เป็นแนวทางในการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์มาตลอดและต่อเนื่อง
ก่อนเกิดสถานการณ์โควิดพวกเรา “คนวัด” เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้านิมนต์ให้พระภิกษุทรงความรู้ไปเทศนาสั่งสอน “ข้าราชบริพาร” ทุกวันธัมมัสวนะ
ในขณะเดียวกันแม้แต่พระองค์เองก็ทรงโปรดให้คณะสงฆ์ในพระอารามหลวงต่าง ๆ เข้าไปเจริญพระพุทธมนต์ในวังแบบใกล้ชิดทุกค่ำคืน โดยพระองค์ทรงร่วมเจริญพระพุทธมนต์ด้วยทุก “วันพระ” เช่นเดียวกัน
เท่านั้นยังไม่พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงใฝ่ธรรม ทรงรู้ว่า “วิปัสสนา” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ “เพชรน้ำเอก” ที่จะทำให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจาก “ความทุกข์” พระองค์จึงทรงนิมนต์ “พระวิปัสสนาจารย์” มาร่วม “สนทนาธรรม” มาร่วมแสดงธรรมให้พระองค์อยู่อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชศรัทธาใน “บวรพระพุทธศาสนา” ถวายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างวัด บูรณะวัด พระอารามต่าง ๆ เช่น พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 10 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างวัดป่าพุทธชินวงศาราม จ.พะเยา อันนี้เฉพาะที่เป็นข่าวและมีพระสงฆ์องค์เจ้าท่านเปิดเผยออกมาเท่านั้น


การเกิดขึ้นของ มหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย คณะสงฆ์และชาวพุทธต้องยกย่องความดีและความตั้งใจของบุคคลอย่างน้อย 3 ท่าน คือ พระเทพสุวรรณเมธี , หลวงพ่อพระมหาบรรจบ ขนฺติโก และ รศ.ดร. เวทย์ บรรณกรกุล บุคคลทั้ง 3 ท่านคือบุคคลในประวัติศาสตร์ซึ่งต่อไปจะเป็น “ตำนาน” ผู้วางรากฐานสำคัญให้เกิด “มหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย”
Leave a Reply