แกะรอย ‘กรานกฐิน’ ตามแนววินิจฉัยในอรรถกถาพระวินัย ช่วยยุติความเห็นต่างในสังคมไทยได้ โดย..ศาสตราจารย์พิเศษ ร้อยโท ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต เกริ่นนำ เบื้องต้น ขอเรียนว่าตามพระวินัย กฐินดั้งเดิมมีแต่ผ้า ไม่มีบริวารกฐิน และผ้ากฐินก็เป็นของสงฆ์-พระตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไปมาแต่แรก ดังนั้น พระที่จะเข้าร่วมรับและมอบผ้าต่อให้ใครรูปใดรูปหนึ่งต้องมี ๕ เพราะในจำนวน ๕ รูปนั้น ๑ รูปจะถูกยกให้เป็นผู้รับผ้าและกรานกฐิน ส่วนอีก ๔ รูปที่เหลือนี้แหละคือสงฆ์จริง ๆ ที่จะช่วยดูแลและรับรองให้การกรานกฐินถูกต้องตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เรื่องนี้อาจมีปัญหามาอย่างต่อเนื่องแต่ภายหลังพุทธปรินิพพานจนกระทั่งก่อน พ.ศ. ๙๐๐ เป็นเหตุให้พระอรรถกถาจารย์หรือพระนักวิชาการชาวลังกาได้ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างกว้างจนปรากฏแนวทางการวินิจฉัยมาตามลำดับ ดังนี้ กฐิน – กรานกฐิน นิยามและความหมาย กฐิน หมายถึง กรอบไม้สำหรับขึ้นรูปทำจีวร เรียกว่า ไม้สะดึง และมีคำที่ต้องศึกษาร่วมด้วยคือ กรานกฐิน หมายถึง กางหรือ ขึงไม้สะดึงออกแล้วเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงทาบที่ไม้สะดึง เย็บเสร็จแล้วจึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายให้พร้อมใจกันอนุโมทนา-ยินดีในการยกผ้าให้ภิกษุรูปหนึ่งในนามของสงฆ์ ผ้ากฐิน คือ ผ้าที่ใช้ขึงที่ไม้สะดึงสำหรับทำเป็นจีวร ภิกษุที่ร่วมกรานกฐินที่เรียกว่า สงฆ์ มีกี่รูป ? ร่วมกรานกฐิน ก็คือ ร่วมตั้งแต่เริ่มรับผ้าและพิจารณาตัดสินว่าจะให้ผ้าแก่ภิกษุรูปใดแล้วร่วมช่วยทำด้วย ซึ่งเริ่มตั้งแต่กางหรือขึงไม้สะดึงเพื่อนำผ้าที่จะทำจีวรไปทาบ จากนั้นยังช่วยเอาผ้ามาขึงไม้สะดึงเพื่อเย็บ แล้วก็ช่วยเย็บย้อมจนแล้วเสร็จ ภิกษุที่เข้าร่วมกรานกฐินต้องเป็นสงฆ์คือหมู่ภิกษุกำหนดอย่างต่ำสุด ๕ รูป ซึ่งเรียกว่า ‘สงฆ์ปัญจวรรค’ กำหนดสูงสุดไม่จำกัดจำนวน อาจเป็น ๑๐ รูป ๑๐๐ รูป หรือ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ก็ได้ ในยุคของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๓ ในจำนวน ๒๘ พระองค์ พระองค์ทรงเป็นประธานอำนวยการให้สงฆ์ทำจีวรถวายพระอัครสาวกชื่อสุชาตะ สงฆ์มีทั้งหมด ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป (ดูอรรถกถาพระวินัย ภาค ๓ หน้า ๑๙๔) และต่อมาในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันก็ทรงเป็นประธานอำนวยการให้สงฆ์ร่วมทำจีวรถวายพระอนุรุทธะ สงฆ์มีจำนวน ๕๐๐ รูปมี (ดูอรรถกถาธรรมบทภาค ๔ เรื่องพระอนุรุทธะ) เพราะอะไรต้องให้ทำเป็นสังฆกรรม-งานของสงฆ์ ? เพราะการทำจีวรมีกิจที่ต้องทำมาก เช่น ถ้าผ้าที่ได้มายังไม่พร้อมจะทำจีวร เช่น ยังสกปรก สงฆ์หรือพระที่มาร่วมต้องมาร่วมช่วยกันช่วยซัก รวมไปถึงช่วยเย็บช่วยย้อม ข้อสำคัญ ก่อนที่จะลงมือช่วยซักเย็บย้อม สงฆ์ได้ร่วมกันกำหนดตัวภิกษุผู้รับผ้ากฐินหรือเรียกอีกอย่างว่า ผู้กรานกฐิน ไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้องมีรูปเดียวและต้องมีจีวรเก่า (ชิณฺณจีวร) (แต่ถ้ามีภิกษุที่มีจีวรเก่าหลายรูป ต้องให้แก่รูปที่อาวุโสซึ่งมีความรู้ความสามารถที่จะกรานกฐิน – กางไม้สะดึงทำจีวรได้เสร็จทันในวันนั้น แต่ถ้าท่านไม่มีความสามารถทำได้ก็ให้แก่รูปที่อาวุโสรองลงมาซึ่งสามารถทำได้ แต่อรรถกถาก็เสนอข้อแม้ว่า หากสงฆ์เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะสงเคราะห์พระมหาเถระ ก็ทำได้โดยกล่าวกับท่านว่า ‘ท่านขอรับ ขอท่านจงรับผ้ากฐินเถิด พวกจักช่วยกันทำถวาย’) ทำจีวรได้กี่ผืน ? ตามพระวินัย มีคำว่า ติจีวร ในภาษาบาลี ตฺริจีวร ในภาษาสันสกฤต ไทยเรียก ไตรจีวร หมายถึง จีวร ๓ ผืน ประกอบด้วย ๑) อุตตราสงค์ – ผ้าห่มโดยใช้พาดที่ไหล่ซ้าย (ไทยเรียกว่า จีวร) ๒)อันตรวาสก – ผ้านุ่ง (ไทยเรียกว่า สบง) ๓) สังฆาฏิ – ผ้าพับซ้อนเป็นชั้นๆ อาจเป็น ๒ ชั้นใช้ห่มกันหนาว หรือ ๔ ชั้นใช้ปูนอน ในครั้งพุทธกาล การกรานกฐินกำหนดให้ทำจีวรได้ผืนเดียวที่จำเป็นที่สุดที่ต้องผลัดเปลี่ยน อาจเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิก็ได้ เป้าหมายของการทำจีวรตามที่ทรงบัญญัติไว้ก็เพื่อให้ภิกษุรูปที่มีจีวรเก่าที่สุดในวัดนั้นๆได้โอกาสเปลี่ยนจีวรใหม่ ใครร่วมรับกฐินได้ ? ใครร่วมรับไม่ได้ ? ภิกษุเข้าพรรษาแรกจำนวน ๕ รูปขึ้นไปร่วมรับกฐินได้ จำนวนต่ำกว่านั้นรับไม่ได้ แต่ว่าเบื้องต้น ต้องทราบว่า การเข้าพรรษามี ๒ วาระ คือ ๑) เข้าพรรษาแรกมีในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ๒) เข้าพรรษาหลังมีในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ การมีพุทธานุญาตไว้ ๒ วาระนั้น สืบเนื่องมาจากว่า ในปีหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารทรงบอกกล่าวพระสาวกให้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงเลื่อนการเข้าพรรษาจากวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ไปเป็นวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วก็ทรงเหตุจำเป็นจริงจึงทรงอนุญาตตามที่พระเจ้าพิมพิสารทูลขอ โดยตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ‘อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้อนุวัต-คล้อยตามพระราชา (ดูพระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ วัสสูปนายิกขันธกะ) ดังนั้น ที่ว่า ภิกษุที่ร่วมรับกฐินและได้อานิสงส์กฐินด้วยต้องมีคุณสมบัติ คือ ต้องเป็นภิกษุที่จำพรรษาแรก เท่านั้น ท่านที่จำพรรษาหลังรับกฐินไม่ได้และไม่ได้อานิสงส์เพราะถือว่าขาดคุณสมบัติ ในวัดที่มีภิกษุจำพรรษาแรกไม่ครบ ๕ รูป พึงปฏิบัติอย่างไร ? ประเด็นนี้เองที่เป็นปัญหาหลักให้ต้องคิดกันมาน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพานเรื่อยมาจนมาถึงสังคมไทยจนทำให้มีความเห็นต่างกัน ดังนี้ ความเห็นต่างที่ ๑ มีว่า ‘ในวัดที่มีพระจำพรรษาแรกไม่ครบ ๕ รูป ให้นิมนต์พระที่จำพรรษาหลังในวัดนั้นเท่านั้น ห้ามนิมนต์พระจากวัดอื่นหรือที่อื่นมารร่วมรับและกราลกฐิน และพระที่จำพรรษาแรกเท่านั้นจะได้อานิสงส์’ ความเห็นต่างที่ ๒ มีว่า ‘ในวัดที่มีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป สามารถนิมนต์พระมาจากวัดอื่นหรือที่อื่นมารับกฐินได้ และพระในวัดที่จำพรรษาจะได้อานิสงส์ หลังจากกราลกฐินแล้ว’ แนวทางวินิจฉัยเพื่อยุติความเห็นต่าง ความเห็นต่างทั้ง ๒ นี้น่าสนใจ และมีแนวทางให้วินิจฉัยได้โดยดำเนินไปตามขั้นตอนต่อไปนี้ ดูตามมติของอรรถกถามหาปัจจรี ซึ่งมีว่า “บรรดาภิกษุที่(อธิษฐาน)เข้าพรรษาในการเข้าพรรษาแรกแล้วจำพรรษาไปจนถึงปวารณา (ออกพรรษา) การกรานกฐินได้ ส่วนภิกษุที่ขาดพรรษาในการเข้าพรรษาแรกก็ดี ภิกษุที่(อธิษฐาน) เข้าพรรษาในการเข้าพรรษาหลังก็ดี กรานกฐินไม่ได้ ส่วนภิกษุที่จำพรรษาในวัดอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน” (ดู อรรถากถาพระวินัย ภาค ๑ หน้า ๑๙๒) มตินี้น่าจะมีความสำคัญไม่น้อยเลย พระพุทธโฆสะจึงยกขึ้นมาเป็นบทตั้งเพื่อให้ได้หลักว่าพระอรรถกถาจารย์ชาวลังกายุคก่อนท่าน (ก่อนพ.ศ.๙๐๐) เห็นว่า ๑. ภิกษุที่อธิษฐานจำพรรษาแรกครบพรรษาในวัดเดียวกันเท่านั้นจึงมีสิทธิ์รับและกรานกฐินได้ ๒. ภิกษุที่อธิษฐานจำพรรษาแรกแล้วขาดพรรษากับภิกษุที่อธิษฐานเข้าพรรษาหลังไม่มีสิทธิ์รับและกรานกฐิน เมื่อได้หลักอย่างนี้แล้ว พระพุทธโฆสะก็อธิบายเสริมว่า ‘ภิกษุที่เข้าจำพรรษาแรกในวัดเดียวกันรูปอื่น ๆ นอกเหนือไปจาก ๕ รูปนั้น ที่คุณสมบัติขาดไป คือ ขาดพรรษาบ้าง จำพรรษาหลังบ้าง แม้กรานกฐินไม่ได้ แต่ก็เป็นคณปูรกะ-ร่วมคณะได้อยู่ แต่ไม่ได้อานิสงส์หรือสิทธิพิเศษตามพระพุทธานุญาต ภิกษุที่จำพรรษาแรกและอยู่ครบพรรษาเท่านั้นจึงได้อานิสงส์’ ผู้เขียนเข้าใจว่า ที่พระพุทธโฆสะมีวินิจฉัยว่า ภิกษุที่คุณสมบัติไม่ครบเข้าร่วมได้แค่เพียงแค่เป็นคณปูรกะ ก็เพราะ ๑) มีภิกษุ ๕ รูปที่จำพรรษาแรกครบพรรษาเป็นหลักครบองค์สงฆ์ที่สามารถทำการกรานกฐินตามพระวินัยได้แล้ว ๒) การยอมให้ภิกษุที่มีคุณสมบัติไม่ครบแต่ไม่มีพฤติกรรมผิดเสียหายเข้าร่วมเป็นคณปูรกะได้ก็เพื่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่สงฆ์ที่อยู่วัดเดียวกัน กลับไปที่ความเห็นต่างที่ ๑ ในสังคมไทยที่ว่า ‘ในวัดที่มีพระจำพรรษาแรกไม่ครบ ๕ รูป ให้นิมนต์พระที่จำพรรษาหลังในวัดนั้นเท่านั้น ห้ามนิมนต์พระจากวัดอื่นหรือที่อื่นมารร่วมรับและกราลกฐิน และพระที่จำพรรษาแรกเท่านั้นจะได้อานิสงส์’ น่าจะมาจากการยึดถือมติในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นแนวทางการวินิจฉัยและปฏิบัติตาม โดยมตินี้ ยังเปิดทางให้พระพุทธโฆสะอธิบายเสริมต่อว่า ‘หากว่า ในวัดนั้น ภิกษุที่เข้าพรรษาแรกมี ๔ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๒ รูปบ้าง ๑ รูปบ้าง ก็ให้กรานกฐินได้ (โดยยึดภิกษุที่จำพรรษาแรกป็นหลัก) แล้วทำภิกษุที่พรรษาขาดหรือจำพรรษาหลังในวัดนั้นเป็นคณปูรกะ – ช่วยให้ครบคณะเป็นสงฆ์’ (ดูอรรถกถาวินัย ภาค ๓ หน้า ๑๙๒-๑๙๓) ความเห็นของพระพุทธโฆสะส่วนนี้ถือว่าเป็นความเห็นเสริมที่แตกออกไปจากมติในอรรถกถามหาปัจจรี หากถามว่า ทำไมพระพุทธโฆสะจึงกล้าเสนอแนวคิดเสริมที่แตกออกไปอย่างนั้น ก็ได้คำตอบว่า น่าจะเสนอตามแนวทางที่พระเถระชาวลังกาในยุคนั้นปฏิบัติกัน สรุปว่า ความเห็นต่างที่ ๑ ใช้ได้ เพราะปฏิบิติกันตามมติของอรรถกถามหาปัจจรีที่คณะสงฆ์ลังกายอมรับฏิบัติกันต่อๆมา ส่วนความเห็นต่างที่ ๒ ในสังคมไทยที่ว่า ‘ในวัดที่มีพระจำพรรษาไม่ครบ ๕ รูป สามารถนิมนต์พระมาจากวัดอื่นหรือที่อื่นมารับกฐินได้ และพระในวัดที่จำพรรษาจะได้อานิสงส์ หลังจากกราลกฐินแล้ว’ ความเห็นต่างนี้ก็น่าคิดเช่นกัน การปฏิบัติถือว่ายืดหยุ่นลงจากความเห็นที่ ๑ ก็มีคำถามว่าได้แนวคิดมาจากที่ไหน ? ผู้เขียนเข้าใจว่าความเห็นของพระพุทธโฆสะที่กล่าวไว้ต่อไปนี้น่าสนใจ คือ ความเห็นว่า ‘ถ้าบรรดาภิกษุที่จำพรรษาแรกไม่เข้าใจวิธีกรานกฐิน สงฆ์พึงแสวงหาพระเถระผู้ชำนาญขันธกะ-หมวดหมู่ของวัตรปฏิบัติในพระวินัยที่ฉลาดรอบรู้เกี่ยวกับการกรานกฐินมา ท่านมาแล้วจะได้ช่วยประกาศกรรมวาจา-การพูดแนะนำเรื่องทำวินัยกรรมแล้วแนะนำให้กรานกฐินได้ แต่ว่าท่านจะไม่ได้อานิสงส์ แต่ได้แค่ฉันอาหารที่ถวายแล้วก็ไป’ (อรรถกถาวินัย ภาค ๓ หน้า ๑๙๓) สรุปว่า พระพุทธโฆสะเปิดทางให้หาพระเถระจากวัดอื่นมาช่วยแนะนำด้านวินัยกรรม – ทำตามขั้นตอนพระวินัยได้ ตั้งแต่ประกาศว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สํโฆ….ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า…. ไปจนจนถึงว่า อตฺถตํ ภนฺเต สํฆสฺส กฐินํ, ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร – ท่านผู้เจริญ สงฆ์กรานกฐิน-ขึงไม้สะดึงเสร็จแล้ว, การกรานกฐิน-การขึงไม้สะดึงชอบธรรม…. ประเด็นที่น่าคิด ในวินัยปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่า ภิกษุที่มีหน้าที่ทำกรรมวาจา-ประกาศญัตติให้สงฆ์ทราบเกี่ยวกับการทำสังฆกรรมแต่ละประเภท ต้องเป็นพระเถระที่อยู่ในสงฆ์หมู่นั้นที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสังฆกรรมนั้นๆ แล้วการที่พระพุทธโฆสะเสนอแนวคิดเปิดทางให้นิมนต์พระเถระผู้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติเนื่องด้วยกฐินมาจากวัดอื่นมาทำกรรมวาจา-ประกาศญัตติเปิดการกรานกฐินได้นั้น ท่านอาศัยแนวคิดอะไรเป็นฐานคิด คำตอบก็ว่า น่าจะอาศัย ‘มหาปเทส – ข้ออ้างอิงหลัก’ ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ มีข้อหนึ่งว่า ‘สิ่งใดที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติว่า ควร-ใช้ได้ แต่เข้าได้กับสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้วว่า ควร-ใช้ได้ สิ่งนั้นถือว่า ควร-ใช้ได้’ ในพระวินัย สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วว่า ควร –ใช้ได้ เช่น การนิมนต์พระจากต่างวัดมาสวดปาติโมกข์ในวัดของตัวเองเมื่อถึงวันอุโบสถ พระพุทธโฆสะน่าจะอาศัยแนวคิดนี้เป็นฐานคิดในการให้นิมนต์พระเถระผู้เชี่ยวชาญจากวัดอื่นมาช่วยเหลือด้านวินัยกรรม-ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของพระวินัยในการกรานกฐิน ผมเห็นว่า แนวคิดแบบเปิดทางของพระพุทธโฆสะนี้เอง น่าจะถูกนำมาใช้ในสังคมไทย คือ แสวงหาภิกษุที่จำพรรษาแรกต่างวัดมาช่วยเป็นคณปูรกะ-เสริมให้ครบองค์สงฆ์คือ ๕ รูป อย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน สรุป สรุปได้ว่า แนวทางการวินิจฉัยของพระอรรถกถาจารย์ดังกล่าวมาน่าจะช่วยยุติความเห็นต่างทั้ง ๒ เกี่ยวกับการปฏิบัติในการรับและกราลกฐินในสังคมไทยลงได้ เรื่องเกี่ยวกับกฐินไม่ใช้เป็นตัวชี้ขาดถึงว่าถ้าทำผิดจะต้องโทษถึงขาดจากความเป็นพระ แต่เป็นวัตรปฏิบัติที่เป็นตัวเสริมและหาทางออกในการเปลี่ยนจีวรของภิกษุ ก็สังคมไทยนี้เองที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ว่าวัดจะขาดกฐินไม่ได้แล้วกำหนดให้เป็นประเพณีที่มีรูปแบบเฉพาะเป็นกฐินของชาวพุทธไทย และตอนนี้สังคมไทยกลับถือหนักไปอีกตรงที่ว่า ถือ ‘เงิน’ เป็นหลัก.. จำนวนผู้ชม : 443 Leave a ReplyFacebook Comments More Articles By the same author ครั้งแรก “พุทธทิเบต” บวช “ภิกษุณี” ในประเทศภูฎาน อุทัย มณี ส.ค. 20, 2022 วันที่ 20 สิงหาคม 2565 เฟซบุ๊ค Soraj Hongladarom ซึ่งเป็นของ ศ.ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์… ‘อภิสิทธิ์’สุดปลื้ม!โพสต์เป็นปธ. วางศิลาฤกษ์อาคาร ม.สงฆ์ ‘มจร’ อุทัย มณี ก.ค. 26, 2019 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์… รมช.สธ.เปิดศูนย์บริการคนพิการพร้อมตรวจสุขภาพพระสงฆ์รพ.ระยอง อุทัย มณี ธ.ค. 20, 2019 เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 ธันวาคม ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข… ตามคาด!! สภา มมร. เลือก “พระเทพวัชรเมธี” เป็นอธิการบดีอีกสมัย อุทัย มณี มี.ค. 28, 2023 วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2566 พระมหาฉัตรชัย สุฉตฺตชโย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย… ปลัดมท. เยี่ยม “ไร่รักถิ่น” อำเภอสังขละบุรี เตรียมพัฒนาสู่แลนด์มาร์คแห่งการเรียนรู้ใหม่ของเมืองกาญจน์ อุทัย มณี พ.ย. 30, 2021 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย… มจร ร้อยเอ็ดช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม อุทัย มณี ต.ค. 18, 2022 วันที่ 18 ต.ค.65 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา… สมเด็จพระสังฆราชประทานกัปปิยภัณฑ์ อนุเคราะห์ผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บหนองบัวลำภู อุทัย มณี ต.ค. 07, 2022 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช… “จังหวัดนครปฐม” จัดอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” อุทัย มณี ก.ค. 26, 2022 วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 วานนี้. ณ วัดโคกเขมา อำเภอนครชัยศรี พระพิพัฒน์ศึกษากร… น้อมไว้อาลัยหลวงปู่ทอง เกจิชื่อดังล้านนา มรณภาพ อุทัย มณี ธ.ค. 13, 2019 เมื่อช่วงดึกวันนี้หลวงปู่ทองหรือ พระพรหมมงคล วิ.เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร… Related Articles From the same category ชาวมอญร่วมใจยกเสาหงษ์หน้า “พระธาตุอินทร์แขวนจำลอง” ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 23 ม.ค.65 กลุ่มพัฒนาศาสนาชาวมอญ ในจังหวัดภูเก็ตจัดพิธียกเสาหงส์… อำเภอนำร่อง “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย “ทีมข่าวพิเศษ” หลังจากชมดูแปลง "โคก หนอง นา จังหวัดพะเยา" ด้วยความเพลิดเพลินก็ร่วมเย็นแล้ว… “เจ้าคุณประสาร” ฝากงาน 2 รมต.เพื่อไทย “เสริมศักดิ์ อดีตเด็กวัดมหาธาตุ – พวงเพ็ชร” ดูงานเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร… สสส.หนุนคณะสงฆ์บุรีรัมย์ จัดตั้งกองบุญ เพื่อสุขภาพพระสงฆ์ คณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคณะสงฆ์ตำบลบ้านแวง ซึ่งได้รับคัดเลือกให้พื้นที่นำร่องระดับตำบล… เลขาฯพุทธใต้เชื่อมั่นผู้สมัครส.ส.สงขลาพรรคแผ่นดินธรรม เมื่อวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. ที่บ้านบ่อระกำ ตำบลพะวง…
Leave a Reply