พระพรหมดิลก ร่วมอนุโมทนาพิธี คืนสมณศักดิ์ พระอรรถกิจโสภณวัดสามพระยา หลังประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา

“พระพรหมดิลก” ร่วมอนุโมทนาพิธี พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ “พระอรรถกิจโสภณ” วัดสามพระยา หลังประกาศพระราชกิจจานุเบกษาให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 เวลา 14.30 น. ที่วัดสามพระยาวรวิหาร ดร.ณพลเดช มณีลังกา อดีตอนุกรรมาธิการพิจารณาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยว่า ได้มีการเชิญหิรัญบัฏพัดยศ ผ้าไตรและเครื่องประกอบสมณศักดิ์ ถวายแด่พระอรรถกิจโสภณ โดยประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ประกาศพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ความว่า สมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีตรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูรกิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อตฺตคุตโต) ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิตอาญา และได้มีพระบรมราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ เมื่อวันที่29 พฤษภาคม 2563 นั้น

บัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลตามกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีตังกล่าวทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา และไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ โดยยังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็นพระสมทรง อดดคุตโต ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 10 เมษายน2566 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2561 จึ่งทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ให้พระสมทรง อตตคุตโต เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระอรรถกิจโสภณ โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อนทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายนพุทธศักราช2566ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พุทธศักราช 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงพระกรุณาทรงโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ให้ พระสมทรง อตตคุตโต เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่าพระอรรถกิจโสภณ โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน ถือเป็นรูปที่สองหลังจากที่มีพระราชทานแด่ พระพรหมดิลก

ดร.ณพลเดช กล่าวต่อไปว่า ถือเป็นอุทาหรณ์ ว่า “ทองแท้ไม่แพ้ไฟ” เป็นความงดงามแห่งผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ ดำรงแห่งศีลอันบริสุทธิ์แห่งองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้มีผู้ไม่หวังดีพยายามตีความหมายในมาตรา29 มาตรา 30 ว่าสละสมณเพศ ให้หมายความว่าลาสิกขา แต่ไม่อาจจะลบล้างอมตะวาจาที่พระองค์ให้บัญญัติในพระธรรมวินัยได้ไม่ เพราะหากไม่เป็นไปตามสิกขาบทแห่งการลาสิกขา พระสงฆ์ก็ยังคงเป็นพระสงฆ์อันบริบูรณ์อยู่ดี กรณีนี้เหมือนกับกรณีพระพิมลธรรม ที่ได้คืนสมณศักดิ์ในอดีต ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พระภิกษุที่ถูกกลั่นแกล้งด้วยกลอุบายทางกฎหมาย ในวันนี้ถึงวันที่สว่างแล้วขอทุกรูปกลับมาครองธงชัยแห่งผ้าอรหันต์อย่างมีเกียรติภูมิ เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนา ในวันที่ประเทศไทยเสื่อมถอยจากศีลธรรมด้วยการทำลายพระพุทธศาสนาของคนบางกลุ่ม อย่างไรก็ตามตนเห็นว่ารัฐบาลในการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในขณะนั้นในฐานะเป็นผู้มีส่วนที่ทำให้พระจำคุกอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งท่านไม่ทราบมาก่อน ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา ควรเข้ามาเยียวยาและรับผิดชอบมากกว่านี้

Leave a Reply