วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เป็นประธานในการประชุมที่ปรึกษาและคณะกรรมการดำเนินงานสมโภชพระอาราม ๓๓๘ ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร โดย มีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา คณะกรรมการอำนวยการฝ่ายสงฆ์ คณะกรรมการอำนวยการฝ่ายฆราวาส และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ อาคารมหาธาตุวิทยาลัย ชั้น ๑ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เตรียมสมโภชใหญ่ ๓๓๘ ปี ๗ วัน ๗ คืน ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา ในปี ๒๕๖๗ และเพื่อรำลึกถึงบูรพกษัตริย์และบูรพาจารย์ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)
ประวัติความเป็นมาของวัด
เดิมชื่อ “วัดสลัก” สันนิษฐานว่า วัดนี้แต่ก่อนมีพระภิกษุเป็นช่างฝีมือแกะสลักอยู่จำนวนมาก อาจเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกชื่อวัดว่า “วัดสลัก”
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งเมืองธนบุรีเป็นราชธานี สร้างพระนครทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วัดสลักอยู่ในพระนครฝั่งตะวันออก จึงทรงยกฐานะเป็นพระอารามหลวง เป็นที่สถิตของพระราชาคณะ
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนารถ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ย้ายพระนครมาฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้มีวัดที่อยู่ใกล้ชิดพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ ๒ วัดคือ วัดโพธาราม และวัดสลัก
๑. วัดโพธาราม อยู่ชิดกับพระบรมมหาราชวังข้างด้านใต้ รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาวัดนี้และพระราชทาน นามว่า “วัดพระเชตุพน”
๒. วัดสลัก อยู่ข้างเหนือพระบรมมหาราชวัง แต่อยู่ชิดด้านใต้พระราชวังบวรฯ สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาวัดสลักและขนานนามใหม่ ชื่อว่า “วัดนิพพานาราม” “วัดพระศรีสรรเพชญ” “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ” และในสมัยรัชกาลที่5 ได้เพิ่มสร้อยนามของวัด เป็น “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
Leave a Reply