“ผู้เขียน” เคยไปจังหวัดลพบุรีหลายครั้ง ทั้งงานเกี่ยวข้องกับงานมอญ งานวังสมเด็จพระนารายณ์ หรือแม้กระทั้งหลังสุดคืองาน “สวดพระปริตรมอญ” ที่จัดขึ้น ณ โรงเรียนวินิตศึกษา 2 ภายใต้การอุปถัมภ์ด้านอาหาร สถานที่ และอื่น ๆ ของ “พระเทพเสนาบดี” เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ในฐานะ ผอ.โรงเรียนวินิตศึกษาที่มีนักเรียนมากถึงเกือบ 5 พันคน
ล่าสุดวานนี้ไปจังหวัดลพบุรีอีกครั้งเพื่อไป “ดูงาน” ของกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ซึ่งมี พระเทพเสนาบดี ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนวินิตศึกษาเป็นประธานกลุ่ม ได้จัดกิจกรรมทดสอบทักษะวิชาการของกลุ่มโรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนา โดยมีโรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนาเดินทางมาจากทุกภูมิภาคเข้าร่วมกิจกรรม 65 โรงเรียน จำนวนนักเรียน 1,080 คน คณะครู 122 คน รวมทั้งสิ้น 1,202 คน ซึ่งบรรยากาศก็เคยรายงานข่าวไปแล้ว

“ผู้เขียน” ขอสารภาพบาปว่ารู้จักโรงเรียน “ปอเนาะ-ตาดีกา” ของศาสนาอิศลามที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนมากกว่า “โรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนา” ซึ่งทั้ง 2 โรงเรียนทั้ง 2 ศาสนานี้มีลักษณะเหมือนกันคือ “ผู้นำศาสนา” เป็นเจ้าของผู้ได้รับใบอนุญาตตัวจริง หมายความว่า “พระภิกษุ” คือเจ้าของโรงเรียนนั่นเอง เคยรับรู้และสัมผัสมาบ้างตอนที่ “เจ้าคุณขวัญ” พระศรีสุทธิเวที วัดอรุณราชวรารามไปสร้างโรงเรียนการกุศลวัดไตรรัตนาราม ที่จังหวัดกาญจนบุรี แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร เพราะดูแล้วยุ่งยาก ลำบาก เหนื่อยใจ พระต้องหาเงินสร้างอาคารเอง บริหารจัดการเองทุกอย่าง ระยะ 2-3 ปีแรก ต้องจัดหาทั้งชุดนักเรียน อาหารการกิน อุปกรณ์การเรียนการสอน เงินเดือนครู กว่า “รัฐบาล” จะมาช่วยเห็น “เจ้าคุณขวัญ” ต้องหาเงินอยู่ 2-3 ปี แม้กระทั้งทุกวันนี้ “ค่าใช้จ่ายรายเดือน” ท่านก็เข้าไปแลอยู่ในนาม”มูลนิธิพระศรีสุทธิเวที” ก็คือ..เงินของท่านนั่นแหละ
“โรงเรียนวินิตศึกษา”ในพระราชูปถัมภ์ขององค์สมเด็จพระเทพ ฯ จังหวัดลพบุรี มีชื่อเสียงมาก กว่าจะถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ “ดื่มน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ”

“ผู้เขียน” รู้แต่ว่า โรงเรียนแห่งนี้กว่าที่ “พระเทพเสนาบดี” มารับช่วงต่อนั้น ผู้ก่อกำเนิดคือ “พระพุทธวรญาณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดกวิศรารามราชวรวิหาร และ รู้อีกว่า วัดกวิศแห่งนี้เดิมเป็น “วัดมอญ” มาก่อน และภายในวัดมี “บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” โบราณสถานด้วย ด้วยใคร่อยากจะว่า “พระพุทธวรญาณ” ผู้มีหัวใจเปี่ยมด้วยเมตตาดัง “พระโพธิสัตว์” ท่านเป็นอย่างไร สอง อยากไปดูว่าวัดกวิศ มีสภาพเป็นอย่างไร และสาม อยากจะไปชมบ่อน้ำศักด์สิทธิ์และแหล่งโบราณสถานภายในวัดด้วย หลังจากจบภารกิจภาคเช้าดูงานของกลุ่มนักเรียนที่เข้าสอบแข่งขันทักษะวิชาการ จึงตัดสินใจไปกราบ “พระพุทธวรญาณ” ด้วยมี GPS เป็นเครื่องนำทาง
“วัดกวิศรารามราชวรวิหาร” เป็นวัดโบราณไม่ปรากฏประวัติชัดเจน แต่สันนิฐานว่าเป็นวัดที่ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ” ทรงสร้างหรือไม่ก็ปฎิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ เดิมเรียกกว่า “วัดขวิด” หรือ “วัดจันทร์” ต่อมาในสมเด็จรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริว่า วัดตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานเป็นการไม่สมควร จึงทรงไถ่ถอนเขตวิสุงคามสีมาออกจากพระราชวัง และทรงเห็นว่าวัดขวิด ตั้งอยู่ใกล้กำแพงพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จึงโปรดให้ปฎิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดกวิศราราม” และภายในวัดมีโบราณสถานทั้งพระอุโบสถตามลักษณะเป็นพระอุโบสถขนาดย่อมแบบมหาอุด มีประตูเข้าออกทางเดียว ผนัง เจาะเป็นช่องไม่มีหน้าต่าง เจดีย์ รวมทั้งมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สำหรับข้าราชการถือน้ำพระพัฒน์สัตยาด้วย และทั้งในอดีตเป็นวัดสังกัด “คณะสงฆ์รามัญนิกาย” ด้วย

“ผู้เขียน” เมื่อไปถึงสังเกตภายในวัดมี “ต้นจันทน์” เก่า 2-3 ต้น มีเจดีย์ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ์ สังเกตเห็นเจดีย์ที่บรรจุอัฎฐิของ “พระพุทธวรญาณ” เสียดายว่าประตูพระอุโบสถปิด ไม่ได้เข้าไปกราบพระประธานและชมความงดงามภายในพระอุโบสถ พยายามมองหา “พระภิกษุ” แต่ไม่เจอท่านใด จึงตัดสินใจเดินไปที่โรงเรียนวินิตศึกษาผ่านประตูเข้าไปเจอรูปปั้นสีสองขนาดใหญ่ของ “พระพุทธวรญาณ” โดยข้างรูปมีตัวอักษรบาลีและไทยว่า “อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก : การช่วยกันเป็นสุขในโลก” ใต้รูปมีอักษรสลักว่า “พระพุทธวรญาณ” ผู้ให้กำเนิดโรงเรียนวินิตศึกษา 20 พฤษภาคม 2489 เข้าไปกราบสักการะท่าน ในขณะที่สายตา “รปภ.” จับตามองอยู่ ได้แต่รำพึงในใจว่า หากไม่มีพระสงฆ์ผู้มีความเมตตามีหัวใจดัง “พระโพธิสัตว์” รูปนี้ วันนี้ลูกหลานชาวพุทธที่ยากจนคงไม่ได้มีโอกาสเล่าเรียนฟรีแบบนี้ หรือหาจะเสียค่าบำรุงบ้างก็เล็กน้อย ปัจจุบันโรงเรียนวินิตศึกษามีชื่อเสียงไม่แพ้โรงเรียนดัง ๆ ระดับประเทศอาทิ สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ เตรียมอุดม ซึ่งโรงเรียนที่ว่ามานี้ “ค่าเทอมแพง” คนยากจน อาจเอื้อมไม่ถึง

โรงเรียนวินิตศึกษามีชื่อเสียงดีและดัง เพราะ “พระพุทธวรญาณ” ท่านวางรากฐานไว้ดี อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่จะรับช่วงต่อไว้ดี คือ “พระเทพเสนาบดี” ท่านจึงได้สืบสาน รักษา ต่อยอด สิ่งที่พระอุปัชฌาจารย์ท่านตั้งใจทำไว้ จนปัจจุบันโรงเรียนวินิตขยับขยายไปสู่แห่งที่ 2 มีอาคารเรียนใหญ่โต มีเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ในขณะที่ “ลูกพระพุทธเจ้า” คือศิษย์เก่าของโรงเรียนวินิตศึกษาทั้งที่จบไปแล้วหรือกำลังศึกษาอยู่ ล้วนติดชื่ออยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย สังเกตจากรายชื่อ “ศิษย์เก่า” มีทั้งทหาร ตำรวจ แพทย์ นักธุรกิจ ผู้พิพากษา ครบทุกสาขาอาชีพ

“ผู้เขียน” จากเดิมทำงานเป็นนักข่าวสายโทรทัศน์ แม้จะเป็นนักบวชเก่า แต่ไม่ค่อยให้ความสนใจเกี่ยวกับกิจการของคณะสงฆ์เท่าไรมากนัก จะนิมนต์พระมาออกรายการบ้างเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ หรือได้รับ “คำสั่งพิเศษ”จากฝ่ายการเมือง เช่น ช่วงวิกฤติการเมือง เสพข่าวไม่ดีของพระสงฆ์ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไป จึงไม่อยากเข้าใกล้พูดคุยกับพระภิกษุสงฆ์เท่าไร เพราะมองว่า “คบพระมีแต่เสีย เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ขี้เหนียว” ประมาณนั้น
หลายปีมานี้ผันแปรตัวเองมาเป็น “นักข่าวสายพระ” แม้ไม่ได้ใกล้ชิดกับพระสงฆ์มาก แต่ก็ใกล้ชิดกว่าเดิม ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับพระคุณเจ้าหลายโครงการเช่น หมู่บ้านศีล 5 บ้าง งานอื่น ๆ บ้าง “ความคิดเปลี่ยน” ความจริงในสังคมสงฆ์มีพระเถระหลายรูป มีหัวใจเป็นพระโพธิสัตว์จริง ๆ มีพระเถระระดับเจ้าคณะภาคบ้าง รองภาคบ้าง เจ้าคณะจังหวัดบ้าง ลงพื้นที่ลุยตากแดด ตากฝน วัดไม่ได้กลับ กิจนิมนต์ประเภทงานวัดบ้าง ญาติโยมนิมนต์ฉันบ้าง ต้องสละหมด ร่วมกันสละเงินที่ได้รับบริจาคมาลงขันช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ป่วยติดเตียง สร้างบ้านให้กับคนยากจน และหลายรูปให้ทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร เด็กที่ยากจนแต่เรียนดีก็มีมาก..


Leave a Reply