“มหานิยม” ลงพื้นที่วัดสัมพันธวงศ์ หลัง “อดีตพระพรหมเมธี”  ร่อนหนังสือขอความเป็นธรรรมคดีเงินทอนวัด

วันที่ 26 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 น.  ดร.นิยม เวชกามา”ช อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษารักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เจ้าของฉายา “ดร.มหานิยม เดินทางไปที่วัดสัมพันธวงศาราม ถนนทรงสวัสดิ์ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เพื่อดูอาคารอเนกประสงค์ที่จัดสร้างใหม่จากการรื้อถอนอาคารชูชีพศิลปรัตน์ ในยุคที่ “พระพรหมเมธี” หรือ “จำนงค์ ธัมมจารี” ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์

 

ดร.นิยม เวชกามา เปิดเผยว่า วันนี้ลงมาดูศาลาที่อดีตพระพรหมเมธี ถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน ศาลาหลังดังกล่าวเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กทรงไทยประยุกต์ผสมยุโรป สูง 3 ชั้นกว้าง 8.30 เมตร ยาว 27 เมตร งบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมด 12 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินบริจาคของพุทธศาสนิกชน ทั้งนี้ มีงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสมทบ 5 ล้านบาท ในยุคของ “นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” เป็นผู้อำนวยการ โดยโอนเงินเข้าบัญชีของวัด ซึ่งอาคารหลังนี้เป็นการรื้ออาคารเก่าทิ้งและมาสร้างใหม่ทั้งหมดงบที่สวนราชการสนับสนุนมีเพียง 5 ล้านบาท เท่านั้น ดังนั้นเงินส่วนใหญ่จึงเป็นเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธารวมแล้ว 12 ล้านบาท จึงดูไม่ออกว่าจะมีการฟอกเงินในคดีเงินทอนวัดอย่างไร

อดีตพระพรหมเมธี ได้ทำหนังสือชี้แจงจากสถานที่พักอาศัย BAO KREUZNACH ประเทศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เรื่องขอชี้แจงข้อกล่าวหาและขอความเป็นธรรม โดยสรุปว่าอดีตพระพรหมเมธี เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2483 อายุ 84 ปีบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 12 ปี พ.ศ.2495 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพ.ศ. 2504 รวมเวลา บรรพชา-อุปสมบท 72 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ตลอดมาตั้งแต่เป็นสามเณรทั้งนี้ อดีตพระพรหมเมธี ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและขอความเป็นธรรมตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งและถูกกล่าวหาการฟอกเงินในข้อหาเงินทอนวัด ความยาว 19 หน้ากระดาษ  8 ข้อ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าได้ทำความดีในฐานะพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งต่อพระพุทธศาสนาไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่เคยยักยอกเงินทอง

 “ที่สำคัญเงินที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โอนเข้าบัญชีแล้วอาตมาไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนดังกล่าวแม้แต่บาทเดียวโดย “รอ.อดุลย์ รัตนานนท์” อดีตอธิบดีกรมการศาสนา เป็นไวยวัฒน์จกร วัดสัมพันธวงศ์ และคณะกรรมการอีกคนหนึ่งเป็นผู้เบิกจ่ายจึงไม่ได้จับต้องเงินดังกล่าวแต่อย่างใดการเบิกเงินเป็นเพียงสองในสามของเจ้าของบัญชีซึ่งเป็นบัญชีวัด อาตมามีชื่อบัญชีในฐานะเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสเพราะ “สมเด็จมหาธีรวงศ์” เจ้าอาวาส ท่านมีอายุ 97 ปีจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการเบิกจ่ายได้ ในทางกฎหมายเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดเงินทอนขึ้นเพราะ ไวยาวัจกร เป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความเข้าใจในการเบิกจ่ายเงินเป็นอย่างดีการดำเนินการทางกฎหมายในการจับกุมแจ้งข้อกล่าวหาต่ออาตมา ไม่ถูกต้องมาแต่แรก จึงไม่ยอมรับในการที่จะเข้าจับกุมอาตมา จึงขอให้พิจารณาจากหลักฐานและให้ความเป็นธรรมกับคดีของอาตมาด้วย..”

ด้าน พระเทพวชิโรดม เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ รูปปัจจุบัน กล่าวว่า การสร้างอาคารอเนกประสงค์หลังนี้ เป็นการใช้เงินบริจาคของพุทธศาสนิกชนทั้งหมดเงินสมทบจากสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพียงเล็กน้อยถ้าหากสำนักพุทธฯหรือทางราชการจะเอาผิดแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ผู้บริหารในวัดก็จะผิดกันทั้งหมดเพราะเงินใช้จ่ายในเงินบริจาคการจัดสรรงบประมาณมาเขาคงไม่รอทำตามระเบียบทุกๆอย่างมีเงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ไป แต่ไม่ใช่เอาเงินไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นเงินที่สร้างวัดทั้งหมด

“อาตมาเองบวชเป็นสามเณรเป็นพระก็อยู่กับท่านเจ้าคุณ พระพรหมเมธี มาตั้งแต่เด็กๆดังนั้น ก็ทราบว่าท่านไม่ได้ทำผิดอะไรคณะสงฆ์ก็ดีทางราชการก็ดีต้องแก้ไขเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยว่าท่านจะกลับมาประเทศไทยอย่างไรที่จะไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย เพราะท่านไม่ได้มีความผิดอะไรเป็นการดำเนินการเพื่อให้มีความผิดโดยมีธงอยู่แล้ว” พระเทพวชิโรดม กล่าว

Leave a Reply