วันที่ 4 ตุลาคม 2567 พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ได้โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัวจำนวน 3 ตอน พร้อมกับตั้งคำถามว่า..เรียนบาลีทำไม? ถามว่าเรียนภาษาของชาติอื่นไปทำไม? ทุกวันนี้ คนที่พูดภาษาชาติบ้านเมืองของตนอยู่เป็นปกติ แต่เรียนภาษาของชาติอื่นด้วย
ออกไปถึง-เพื่อใช้เป็นช่องทางหาความรู้ เช่นอ่านหนังสือ อ่านตำราที่เขียนเป็นภาษานั้น ๆ อ่านหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์เป็นภาษานั้น ๆ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ที่ออกอากาศเป็นภาษานั้น ๆ เสพข่าวสารบันเทิงจากช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ที่ใช้ภาษานั้น ๆ
นี่คือความมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการเรียนภาษาของชาติอื่น

ตัวอย่างเช่น เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้พูดกับฝรั่งรู้เรื่อง อ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ดูหนังฟังเพลงที่เป็นภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ถ้าไปเมืองฝรั่งก็พูดจาสื่อสารกับฝรั่งได้สบาย อย่างนี้เป็นต้น
เรียนภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน ภาษาฮินดี ภาษาอะไร ๆ อีกร้อยแปด ก็มีความมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายแบบเดียวกันนี้ คือเพราะโลกนี้มีชุมชน มีสังคม มีชนชาติที่พูดภาษานั้น ๆ เราจึงเรียนภาษานั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในทางสื่อสารกับคนที่ใช้ภาษานั้น ๆ
แล้วหวนมาที่ภาษาบาลี เราเรียนภาษาบาลีไปทำไม?
โลกนี้ไม่มีชุมชน สังคม หรือชนชาติที่พูดภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน เราจะเอาภาษาบาลีไปสื่อสารกับใคร
โลกนี้ไม่มีตำรากฎหมาย ตำราประวัติศาสตร์ ตำราวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่เขียนเป็นภาษาบาลี เราจะเอาภาษาบาลีไปอ่านตำราอะไร
โลกนี้ไม่มีหนังสือพิมพ์ที่ออกเป็นภาษาบาลี เราจะเอาภาษาบาลีไปอ่านหนังสือพิมพ์อะไร
โลกนี้ไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์ ที่ออกอากาศเป็นภาษาบาลี เราจะเอาภาษาบาลีไปฟังวิทยุ ไปดูโทรทัศน์ที่ไหน
ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ที่แพร่หลายอยู่ในโลกไฮเทคทุกวันนี้ก็ไม่มีช่องทางไหนที่เผยแพร่เป็นภาษาบาลี เราจะเอาภาษาบาลีไปเสพข่าวสารบันเทิงจากที่ไหน
จึงสรุปเป็นคำถามสั้น ๆ ว่า เรียนบาลีไปทำไม?
ถ้าเปรียบการเรียนบาลีเป็นสินค้า เราผลิตสินค้าชนิดนี้ขึ้นมา มีตลาดอะไรรองรับ?
เป็นตลาดที่เอาสินค้าไปกินไปใช้จริง ๆ
ไม่ใช่ตลาดที่เอาสินค้าไปเก็บไว้เฉย ๆ ไม่กินไม่ใช่ ไม่ดู ไม่เอาไปทำอะไรทั้งสิ้น เก็บไว้เฉย ๆ ชั่วนิรันดร
จะมีใครตอบได้บ้าง-โดยเฉพาะนักเรียนบาลี เรียนบาลีไปทำไม?
ตอนที่แล้วตั้งคำถามว่า เรียนบาลีไปทำไม? ตอนนี้ผมจะตั้งตัวเป็นนักเรียนบาลีรุ่นปัจจุบันวันนี้ตอบคำถาม คำตอบที่เด่นที่สุดของนักเรียนบาลีปัจจุบันนี้ก็คือ เรียนบาลีเพื่อเอาวุฒิ
การสอบได้เป็นเหตุให้ได้วุฒิ วุฒิเป็นเหตุให้ได้ศักดิ์และสิทธิ์ นักเรียนบาลีปัจจุบันนี้เรียนบาลีจึงมุ่งไปที่สอบได้ มีผู้บอกไว้ชัดเจนว่า ลองประกาศยกเลิกวุฒิบาลีดูสิ
หมายความว่าสอบได้ประโยคไหนก็ไม่นับเป็นวุฒิ ม.ต้น ม.ปลาย หรือปริญญาตรีใด ๆ ทั้งสิ้น เรียนบาลีเพื่อสืบพระอายุพระศาสนา เรียนบาลีเอาบุญ เอาความรู้ล้วน ๆ ไม่มีวุฒิให้เอาไปทำอะไรทั้งนั้น
นักเรียนบาลีจะหายวับไปกับตา จะหาคนเรียนบาลีได้ยากที่สุด

อีกเสียงหนึ่งที่ดังอยู่เรื่อย ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ เรียนบาลีของคณะสงฆ์ไทยนักเรียนสอบตกมากกว่าสอบได้ แบบนี้ผิดหลักการศึกษา ควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ต้องเรียนเพื่อให้นักเรียนสอบได้มากกว่าสอบตกหรือไม่มีสอบตก ไม่มีซ้ำชั้น-แบบเดียวกับระบบของทางโลกจึงจะถูกต้อง ไม่เกิดการสูญเปล่าทางการศึกษาอย่างที่กำลังเป็นอยู่
เป็นการยืนยันว่า เรียนบาลีเพื่อสอบได้-เพื่อวุฒิ เพื่อศักดิ์และสิทธิ์ เป็นเป้าหมายของนักเรียนบาลีปัจจุบัน
พูดอย่างนี้ ผมรู้ดีว่าจะโดนหมัดสวนทันที – มีหน้าไหนมั่งล่ะที่เรียนบาลีไม่เอาวุฒิ ไอ้คนพูดนั่นแหละตอนมันเรียนมันก็มุ่งเอาวุฒิ ตอนนี้ทำมาพูดดีนัก ไอ้เวร …
หมัดนี้ผมเคยตอบมาแล้วว่า ถูกต้อง วุฒิต้องเอา ศักดิ์และสิทธิ์ต้องได้ เรียนบาลีต้องคว้าให้ได้ไปให้ถึง … แต่ไม่ใช่จบแค่นั้น
ถนนสายบาลีไม่ได้สิ้นสุดแค่นั้น ถนนสายบาลียังมีต่อไปอีกยาว
แต่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการเรียนบาลีของเรากลับบอกกันว่า สอบ ป.ธ.๙ ได้คือจบบาลีแล้ว
นอกจากจะไม่สนับสนุนความจริงว่าถนนสายบาลียังมีต่อไปอีกยาวแล้ว ยังช่วยกันก่ออิฐปิดทางปักป้าย “ทางตัน” เสียอีกด้วย บอกให้เข้าใจผิดว่าถนนสายบาลีสิ้นสุดลงแค่สอบ ป.ธ.๙ ได้ แค่นี้จบบริบูรณ์แล้ว
สอบ ป.ธ.๓ ได้ คือจบ ม.ปลาย
สอบ ป.ธ.๙ ได้ คือจบ ป.ตรี
เท่านี้พอแล้ว เอาวุฒิไปใช้ประโยชน์ได้ตามที่ต้องการ เรียนบาลีได้เท่านี้พอแล้ว

เอาเป็นว่ายอมแพ้ครับ เรียนบาลีเพื่อเอาวุฒิถูกต้อง แต่ขอถามต่อไปว่า เราเคยคิดบ้างไหมว่า ที่ผู้บริหารการศึกษากำหนดให้เรียนบาลีได้วุฒิชั้นนั้นชั้นนี้ เขามีเหตุผลอะไร เขามองตรงไหนจึงยอมให้การเรียนบาลีได้วุฒิ?
คำถามนี้อาจยังไม่ตรงประเด็นนัก เพราะฉะนั้น ขอชี้ชัดลงไปเลยเพื่อให้เห็นประเด็นชัด ๆ –
นั่นก็คือ ปัจจุบันนี้กระทรวงกลาโหมมีตำแหน่ง “อนุศาสนาจารย์” ทั้ง ๓ เหล่าทัพ รับสมัครผู้จบปริญญาตรีของคณะสงฆ์ คือ ป.ธ.๙ และ พธ.บ. จากมหาจุฬาฯ ศน.บ. จากมหามกุฏฯ
ว่าเฉพาะ ป.ธ.๙ อันมาจากการเรียนบาลีโดยตรง
ถามว่า กระทรวงกลาโหมเอาผู้จบ ป.ธ.๙ ไปเป็นอนุศาสนาจารย์ เพื่อให้ทำงานอะไร?
ตอบว่า ให้ทำงานสอนและอบรมศีลธรรม เผยแพร่วิชาการทางพระพุทธศาสนา ปฏิบัติการเรื่องศาสนพิธี เป็นที่ปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับขวัญและกำลังใจของกำลังพลในกองทัพ
นี่คืองานของอนุศาสนาจารย์ รายละเอียดยังมีอีกมาก แต่หลัก ๆ เป็นดังที่กล่าวมานี้
และที่สำคัญที่สุด อนุศาสนาจารย์ต้องมีจรรยาบรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องดำรงตนอยู่ในเบญจศีลอย่างเคร่งครัด
ถ้าอนุศาสนาจารย์บกพร่องทางศีลธรรม กระทรวงกลาโหมจะใช้มาตรการ “ให้ออกจากสายวิทยาการ” คือไม่ให้ทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์อีกต่อไป
ข่าวร้อนในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือพระมหา ป.ธ.๙ รูปหนึ่ง บกพร่องทางศีลธรรมเกี่ยวกับการเงิน เป็นเรื่องฉาวโฉ่มาก
ถ้าผู้จบทางบาลีบกพร่องทางศีลธรรมกันทั่วไปแบบนี้ จบ ๑๐๐ บกพร่องทางศีลธรรม ๘๐-๙๐ หรือบกพร่องหมดทั้ง ๑๐๐
ถามว่า กระทรวงกลาโหมจะรับผู้จบ ป.ธ.๙ เข้าเป็นอนุศาสนาจารย์หรือไม่?
หน่วยงานอื่น ๆ ที่รับผู้จบบาลีเข้าทำงานหรือเข้าศึกษาต่อ จะรับหรือไม่?
ผู้มีอำนาจหน้าที่ทางการศึกษาจะกำหนดให้ผู้จบบาลีมีวุฒิชั้นนั้นชั้นนี้หรือไม่?
จะเห็นได้ว่า ที่ว่าเรียนบาลีเพื่อเอาวุฒินั้น เนื้อตัวหรือหัวใจจริง ๆ ของการเรียนบาลีไม่ได้อยู่ที่วุฒิ
หากแต่อยู่ที่ความไม่บกพร่องทางศีลธรรม
หมายความว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการเรียนบาลีคือความเป็นผู้บริบูรณ์ทางศีลธรรมและทางวิชาการ แง่ต่อไปที่ควรคิดก็คือ ถ้าต้องการเพียงแค่วุฒิ ทำไมจะต้องเรียนบาลี?
เรียนอย่างอื่นก็สามารถได้วุฒิเหมือนกัน แล้วทำไมจะต้องเรียนบาลี?
มาถึงตรงนี้ชักจะเห็นได้แล้วว่า เรียนบาลีบาลีทำไม มีตัวแปรมากกว่า-เรียนเพื่อเอาวุฒิ คือต้องตามไปดูอีกว่าทำไมต้องเอาวุฒิ
การศึกษาของเรานั้น เดิมแท้คือการอบรมสั่งสอนให้มีความรู้ดีควบคู่ไปกับความประพฤติดี หลักข้อนี้อาจจะมีที่มาจากแนวคำสอนในพระพุทธศาสนา
สรุปว่า หลักการศึกษาเดิมแท้ของเรานั้น อบรมสั่งสอนเรื่องความรู้ด้วย อบรมสั่งสอนเรื่องความประพฤติด้วย
หลักข้อนี้จะเห็นได้ชัดในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่าด้วยการจัดการศึกษา ความตอนหนึ่งว่า


Leave a Reply