รอยปริแตกแยก “สังคมไทย-สังคมพุทธ” น่าห่วง??

“ผู้เขียน” ได้รับข้อความหนึ่งจากเพื่อนร่วมรุ่น มจร 46 เกี่ยวกับความวุ่นวายของประเทศไทยที่ตัดเพ้อสังคมไทยตอนนี้ว่า ทำไมมันดูวุ่นวายจัง โครงการธรรมนาวา คิดเห็นไม่ตรงกัน การเมืองก็ขัดแย้งสูง สังคมพระก็ดูวุ่นวาย พระต่อว่าโยม โยมตระคอกใส่พระ ฟ้องร้องดำเนินคดีกัน มันมั่วไปหมด มองไปทางไหน ทุกคนมุ่งแต่เอาชนะ ยึดความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่..ขณะที่พระภิกษุต่างก็มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หาผลประโยชน์เข้าวัดและพรรคพวกตนเอง จนลืมสิ่งที่เป็น..สาธาณะ เพื่อส่วนรวมไปสิ้น

สำหรับข้อความที่เพื่อนส่งมามีดังนี้

วัดจะร้าง ขุนนางจะผยอง เงินทองคือพระเจ้า

คนเฒ่าจะกำพร้า จอมพาราจะหม่นหมอง

พี่น้องจะเป็นศัตรูกัน​ ครูจะกลัวศิษย์ ผิดจะเป็นถูก ลูกจะล้างผลาญ

คนพาลจะอหังกา คนบ้าจะเด่นดัง คนมีตังคือเทพเจ้า…

“ผู้เขียน” เคยเห็นข้อความนี้มานานแล้ว เป็นข้อความสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคม “ปรากฎการณ์” ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นจริง

ส่วนจะจริงมากน้อยแค่ไหน..อยู่ที่มุมมองและประสบการณ์ของแต่ละคน

โลกปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก..มีคำกล่าวว่า พระตามความชั่วชาวบ้านไม่ทัน หมายความว่า ตามสถานการณ์โลกไม่ทัน คนยุคนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเป็น “สะพานบุญ” อีกต่อไป

คนยุคนี้!! ละเลยคำว่าพระคือ “เนื้อนาบุญ”  มองพระเท่ากับคนไม่ได้บวชเหมือนกัน ทุกอย่างเสมอกัน  มนุษย์เหมือนกัน แตกต่างกันเพียง “การแต่งกาย”  ทิ้งเรื่อง “คุณธรรม” อันเป็น “นามธรรม” หมดเกลี้ยง ทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ได้ สัมผัสได้ จับต้องได้

คนรวย..สำคัญกว่า มีคุณค่ามากกว่า  “คนดี” 

การที่สังคมภายนอกมองพระภิกษุแบบนี้หลายคนอาจกล่าวได้ว่า..พระทำตัวเอง เพราะภาพพระบางรูปที่ปรากฎออกมามีรูปแบบการใช้ชีวิต..เยี่ยงฆราวาส

แต่หากมองไกล ๆ จากสังคมเมือง สังคมกรุง มีพระภิกษุจำนวนมากยังนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำ อยู่ในป่าเขา ปลีกวิเวก!!

หรือสังคมพุทธบ้านเรา เข้าสู่ยุค “หัวโล้นอยากรำ…หัวดำอยากเทศน์”

คนยุคนี้!! ไม่ได้มองคนที่ความดี..แต่มองคนแค่ใคร “มีประโยชน์ -ไม่มีประโยชน์”

บางคน “ฆ่าได้” แม้กระทั้งพ่อแม่ ทำร้ายได้ แม้กระทั้ง พี่น้อง กล่าวร้ายได้แม้กระทั้ง..คนสนิทหรือคนที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา

คนบางสะกดคำว่า “กตัญญกตเวที”  ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของครอบครัว ของสังคม ที่คอยจรรโลงประเทศชาติให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขไม่เป็น

“ผู้เขียน”  อดเป็นห่วงสถานการณ์พระพุทธศาสนาที่เป็นอยู่ ณ  ตอนนี้ไม่ได้ โครงการธรรมนาวาก็มีร่องรอยของความคิดเห็นต่าง  สังคมพระภิกษุสงฆ์ก็แตกแยก สังคมพระกับโยมก็เกิดปริ  ต่างคนต่างใช้สื่อโซเชียล  กองหนุน เครื่องมือที่ตนเองมี โต้ตอบ แบบไร้การควบคุมและดูแล นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น

คำว่า “ขอโทษ” และคำว่า “ให้อภัย” เหินห่างไปจากสังคมไทย สังคมพุทธแทบสูญสิ้น

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น “ทุกวันนี้” มิใช่ความเห็นต่าง แต่มันคือการปะทะ

ยิ่งมีการฟ้องร้องทางกฎหมายบ่งบอกว่า มีจะมี “ผู้แพ้-ผู้ชนะ”

ปรากฎการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก และแตกหัก ของสังคมไทยและสังคมพุทธในที่สุด??

หรือ!! ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา คณะสงฆ์ ประเทศชาติชาติ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้!!

 

Leave a Reply