วันที่ 2 พฤษจิกายน 2567 กรณี นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้สัมภาษณ์ว่า “การทำเครื่องรางของขลังหากพระสงฆ์โฆษณาอวดอ้างวัตถุมงคล ที่ปลุกเสกเกินจริง ก็จะเข้าข่ายมีความผิดตามประกาศมหาเถรสมาคม อาจถึงขั้นต้องให้สึกจากความเป็นพระ” นั่น
ก่อให้เกิดคำถามในโซเชียลมากกว่า คำประกาศดังกล่าวยังได้หรือหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ขอให้รีบดำเนินการ แต่ต้องกำหนดกรอบให้ชัดว่านิยามคำว่า “เกินจริง” หรือแค่ไหน แม้กระทั้ง “สุรพศ ทวีศักดิ์” นักวิชาการชื่อดังตั้งคำถามว่า แล้ว #ตามจริง กับ #เกินจริง วัดยังไง เช่นหลวงพ่อคูณรุ่นกูให้มึงรวย หรือเหรียญหลวงปุ่ศิลารุ่นยอดรวย หรือยอดเศรษฐี ถ้าไม่เกินจริงหมายถึงทุกคนที่มีพระรุ่นนี้รวยหรือเป็นเศรษฐีกันทุกคนใช่ไหม หรือมีแล้วรวยเป็นส่วนใหญ่ เก็บสถิติยังไง
ส่วน “พระมหานริทร์ นรินฺโท” นักวิพากษ์สังคมสงฆ์ ก็ตั้งคำถามว่า พระเครื่องมีพุทธคุณหรือไม่ ? มีการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ ?ห้อยแล้วจะทำให้รวยดังหวังหรือไม่ ? ห้อยแล้วจะแคล้วคลาดปลอดภัยจริงหรือไม่ ? ร้อยแปดคำถามเกี่ยวกับพระเครื่องของชาวพุทธไทย ?แต่ไม่ต้องสงสัยหรอกพี่น้อง ของแบบนี้มันมีตัวอย่างพิสูจน์ได้ พระเครื่องอาจจะมีการโฆษณาเว่อร์เกินไปบ้าง ก็ถือว่าเป็นธรรมดา เพราะว่าเป็นเรื่องของศรัทธามหาชน เพราะศรัทธาเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ พร้อมโยงไปหา “พระอาจารย์ต้น”ธรรมนาวาวัง ว่า สำนักพุทธฯ ยุคนี้ ดูท่าไร้น้ำยาไล่ จับแต่ปลาซิวปลาสร้อย ตัวใหญ่ๆ ไม่กล้าจับถ้าเก่งจริงดังพูด ก็ช่วยจับ “พระต้น” สึกให้ดูซักทีเพราะนี่คือตัวอย่างแห่งการโฆษณาเกินจริงชัดเจนที่สุด นะ กล้า ๆ หน่อย
ส่วมติมหาเถรสมาคม เรื่อง การโฆษณาพระพุทธรูป พระเครื่อง และวัตถุมงคล ในสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อวิทยุโทรทัศน์ ปรากฎในมติ 91/2547 ความว่า
ความว่า ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ 7 /2547 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ในคราวประชุมเรื่อง โฆษณาในสื่อหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ และในสื่อวิทยุโทรทัศน์” คร้ังที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2547 ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้ปรารถถึงการโฆษณาและการเรี่ยไรที่อวดอ้างสรรพคุณเกินสภาพที่นาจะเป็นการชวนเชื่อ และใช้สื่อเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนรวม
1. การโฆษณาสรรพคุณพระบูชาและวัตถุมงคล โดยอ้างแหล่งที่มาของวัสดุที่นำมาสร้างพระบูชาและวัตถุมงคล ที่นำมาจำหน่ายหรือแลกเปลี่ยนหรือมองเป็นของที่ระลึก โดยไม่รู้จักหมด ตลอดถึงอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ต่าง ๆ อาจเข้าข่ายการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งหมิ่นแหม่ต่อการอวดอุตริมนุสสธรรม และเข้าลักษณะเบี่ยงเบนหลักพระสัทธรรม คือ ปริยัติ ปฎิบัติ และปฎิเวธ ได้
2. การใช้สื่อในการเรี่ยไร โดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมคำสั่งสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนหรือกลุ่มบุคคล มากกว่ามุ่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
3. การนำเอาพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา มาวางบริเวณทางเท้าหรือข้างถนน ที่คนเดินผ่านไป-มา ควรที่จะมีกฎหมายหรือระเบียบห้าม และกำหนดให้มีการปฎิบัติที่ชัดเจน
ต่อมา ที่ประชุม มหาเถรสมาคม ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการ คือ 1. มีมาตรการป้องและลงโทษพระสังฆาธิการ 2.หากผู้จัดพระบูชาหรือวัตถุมงคลเป็นคฤหัสถ์ ขอให้พระสังฆาธิการช่วยกันสอดส่องและแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองดำเนินการ
3.ขอให้มีมาตราควบคุมการโฆษณาพระบูชาหรือวัตถุมงคล และ 5. ควบคุมพระภิกษุที่จัดรายการตามสถานีวิทยุอย่างใกล้ชิด


Leave a Reply