วันที่ 11 ตุลาคม 2568 มูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำโดย ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้โพสต์ตั้งคำถามว่า คณะสงฆ์วัดชนะสงครามจะเอาอย่างไร กรณีไล่พระมหาอุเทน ปญฺญาปริทตฺโต ที่อาจขัดต่อกฎหมาย!! โดยมีรายละเอียดดังนี้
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงการที่มีพระมหาท่านหนึ่งวัดใน กทม. ทราบว่า เป็นพระนักกฎหมายแต่น่าจะอ่านกฎหมายไม่แตก ตีความกฎหมายคลาดเคลื่อน ชี้ประเด็นข้อกฎหมายทำนองอัตโนมติ ถ้ามีผู้ติดตามแล้วจำไปขยายความต่อ อาจเกิดความเสียหายแก่คณะสงฆ์โดยเฉพาะการใช้อำนาจของเจ้าอาวาส กรณีท่านสรุปเป็นหัวข้อว่า “ขับไล่พระออกจากวัด ไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส ขัดคำสั่งวัด เป็นอำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์โดยเฉพาะ ไม่ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗”
ขอเรียนท่านว่า “อำนาจเจ้าอาวาสถูกต้อง แต่คำว่า #เป็นอำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์โดยเฉพาะไม่ถูกต้อง ที่ถูกท่านต้องกล่าวว่า อำนาจมาโดยกฎหมายสงฆ์ แต่การใช้อำนาจของเจ้าอาวาสนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติให้อำนาจเป็นการเฉพาะแก่บุคคล “#เป็นสิทธิ์เฉพาะตัวของเจ้าอาวาส” เพราะเจ้าอาวาสก็มีฐานะเป็น “บุคคล” เหมือนประชาชนทั่วไปในประเทศไทย จึงจะถูกต้อง หากเจ้าอาวาสใช้อำนาจแล้วเข้าข่าย “ #กลั่นแกล้ง” พระลูกวัด จะมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๔๕ พ.ร.บ.สงฆ์ อย่างแน่นอน เพราะเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๔๕ การที่ท่านกล่าวเช่นนั้นจึงคลาดเคลื่อนอย่างยิ่ง
มูลนิธิทนายกองทัพธรรม มีประสบการณ์ในฐานะเป็นผู้ให้และถวายความรู้กฎหมายบ้านเมือง กฎหมายคณะสงฆ์ แก่พระสังฆาธิการ-พระภิกษุ-สามเณร-ไวยาวัจกร และประชาชนทั่วไป มาแล้วถึง ๑๔ ครั้ง เกือบทุกภูมิภาค และเป็นทนายจำเลยว่าอรรถคดีในศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และภาค ๑-๙ ช่วยเหลือคณะสงฆ์และประชาชนที่เกี่ยวข้องกับวัดซึ่งตกเป็นจำเลย เราย่อมตระหนักดีว่า หากมีการตีความและเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวบทกฎหมายโดยสรุปเช่นนั้น ย่อมเกิดภยันตรายแก่ “ #เจ้าอาวาสที่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ” เนื่องจากในการกำหนด “รูปคดี” เพื่อตั้งประเด็นต่อสู้ทั้ง “ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน” หากทนายจำเลยตั้งประเด็นผิดโดยโมเมว่า “เจ้าอาวาสไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบมูลฐานความผิดใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงาน” นั้น ย่อมเล็งเห็นผลได้ไม่ยากว่าต้องพ่ายแพ้แก่ “อัยการปราบทุจริตฝ่ายโจทก์” ภายหลังศาลประทับรับฟ้องตั้งแต่ยังไม่สอบคำให้การเป็นที่แน่แท้ ที่ถูกท่านต้องตั้งประเด็นว่า “ #เจ้าอาวาสนั้นเป็นเจ้าพนักงานแต่ไม่มีเจตนาพิเศษเพื่อกลั่นแกล้งผู้ใดใช้อำนาจโดยชอบ” สมดังคำพากษาที่ท่านมหายกขึ้นมาสนับสนุนนิเขปบทข้างต้นนั้นล่ะถูกต้อง
มีคำพิพากษาฎีกามากมายที่ชี้ชัดว่า การใช้อำนาจของเจ้าอาวาสตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๓๘ เจ้าอาวาสมีอำนาจ (๒) สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัด นั้น เป็นการกระทำในฐานะ “ #เจ้าพนักงานของรัฐ” ตามมาตรา ๔๕ ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑ (๑) (๑๖) และมาตรา ๑๔๗-๑๖๖ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๖๑ โดยความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ต้องมี “ #เจตนาพิเศษ” คือ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือเพื่อ “ #กลั่นแกล้ง” ผู้หนึ่งผู้ใด ล้วนเข้าฐานะความผิดตาม ป.อาญา มาตรา ๑๕๗ ทั้งสิ้น ในฎีกาที่ท่านมหาอ้างมา ถูกต้องครับว่า “เจ้าอาวาสมีอำนาจหน้าที่ชัดเจนในการขับไล่ให้บุคคลใดๆ ที่มีพฤติการณ์ ๑-๒-๓-๔ เป็นอาทิ ออกไปเสียจากวัด” โดยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๙๖/๒๕๑๓ ได้สรุปให้เห็นภาพชัดเจนว่า
“..แม้จำเลยจะมิได้มีคำสั่งในเรื่องโจทก์ถูกกล่าวหาโดยตรงเพราะการสอบสวนไม่ได้ความชัดลงไปว่า โจทก์ได้กระทำผิดดังข้อกล่าวหาหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็มีอำนาจสั่งให้โจทก์ออกจากวัดได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๘ และการกระทำของจำเลยก็เพื่อให้มีความสงบสุขในวัด หาใช่เพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง..” หมายถึง “หากเจ้าอาวาสกลั่นแกล้ง ก็เท่ากับ มีความผิดตามฟ้อง” โจทก์เขาฟ้องตาม “ป.อาญา มาตรา ๑๕๗” ใช่หรือเปล่าท่าน โปรดเข้าใจตามนี้ครับ การจะตีความกฎหมายอย่าตัดตอนและเข้าใจไปเอง ต้องไปเจอสมรภูมิรบในศาลถึงจะรู้ว่า “นักกฎหมายที่ใช้กฎหมายจริง รบจริง เขาไม่ตีความตามที่ตนเข้าใจ แต่ตีความให้ตรงตามเจตจำนงของบทบัญญัติ” เพื่อประโยชน์ของลูกความและผู้ถูกฟ้องคดีจึงพลาดไม่ได้เพราะเพลี่ยงพล้ำก็ติดคุก โดยจรรยาบรรณทนายจึงไม่มโนและตีความตามใจตนเองครับ ถ้าไม่เชื่อมูลนิธิทนายกองทัพธรรม #จะทำกรณีวัดชนะสงครามเป็นตัวอย่างดีไหมจะได้รู้ว่าเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการอันเป็นความผิดตาม ปอ.มาตรา ๑๕๗ หรือไม่ ?

กรณี วัดชนะสงคราม นั้น มูลนิธิทนายกองทัพธรรม จับตามองและตั้งข้อสังเกตว่า “มีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปโดยชอบหรือไม่ อย่างไร ? ” เพราะอำนาจในการออกคำสั่งเป็นของเจ้าอาวาส มิใช่ผู้รักษาการเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาส และการอ้างมติที่ชุมนุมสงฆ์วัดนั้น โดยอาศัยคำสั่งและอำนาจของใคร และในเอกสารต่างๆ ที่ปรากฏตามหน้าสื่อนั้น ผู้ลงนามมีอำนาจหน้าที่ใด อย่าลืมว่าการแต่งตั้งบุคคลในพระอารามหลวงนั้นมีขั้นตอนของกฎหมายชัดเจนตรวจสอบได้ ในทางกฎหมายมีหลักการมีว่า “เอกสารต่างๆ ที่แสดงสถานะผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้น ต้องเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติ หากเกิดขึ้นภายหลังการกระทำ ภาษากฎหมายเรียกว่า เท็จ หรือ ปลอม ทั้งสิ้น และสามารถพิสูจน์ได้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ (ถ้ามี)”
และอย่าลืมว่า “ความเป็นเจ้าพนักงานของเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส #ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ มาตรา ๔๕ ประกอบ ป.อาญา ประกอบ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ.๒๕๖๑ ประกอบกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ” นั้น มีบทลงโทษผู้ปฏิบัติที่ไม่สุจริตได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญ การที่ได้กระทำไปในลักษณะที่เรียกว่า “ #ความผิดสำเร็จแล้ว” นั้น ก็ต้องเรียนถามตรงๆ ว่า “ #จะเอาอย่างไรกับกรณีนั้น” เพราะความผิดฐานเจ้าพนักงานนั้นเป็น “อาญาแผ่นดิน” ซึ่ง “ #ใครๆก็สามารถกล่าวโทษเอาผิดได้” ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายเท่านั้น #ซึ่งเรื่องนี้มูลนิธิทนายกองทัพธรรมไม่ปล่อยผ่านแน่นอน เราไม่รู้จักคุ้นเคย พระมหาอุเทน ปญฺญาปริทตฺโต เป็นการส่วนตัว เราไม่ปกป้องปัจเจก แต่เราปกป้องหลักการของพระธรรมวินัย-กฎหมาย และจารีตประเพณีอันดีงามของพุทธเถรวาทในไทย และความชอบธรรม ตามเจตจำนงที่เด็ดเดี่ยวตั้งแต่ก่อตั้งของมูลนิธิทนายกองทัพธรรม
นอกจากนี้ พระมหาอุเทน ปญฺญาปริทตฺโต ที่กำลังระเห็ดเร่รอนหาที่พำนักนั้น #ไม่มีความผิดฐานครุกาบัติอเตกิจฉาที่แก้ไขไม่ได้ และไม่ใช่พระผู้น้อยแต่เป็นถึงพระวิปัสสนาจารย์ที่ทรงภูมิธรรมขั้นอุดมเป็นเปรียญธรรม ๙ นาคหลวง เป็นนักปฏิบัติในคราบของนักวิชาการ มีผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวงกว้าง #สร้างชื่อเสียงให้แก่วัดชนะสงคราม #ทั้งคนขับและคนถูกขับล้วนเป็นสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกใน เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.๙) อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นพระมหาเถราจารย์ผู้เจริญในสมณคุณธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลวัตร ยืนหยัดในพระธรรมวินัยและความถูกต้อง สมัยที่ท่านดำรงธาตุขันธ์ใช้อำนาจปกครองวัด “ #โดยธรรม” เพียงพลาดพลั้งมีวิวาทะกับคหัฤสถ์และขออภัยกันแล้วพร้อมปรับเปลี่ยน #แต่ไปพูดพาดพิงสหธรรมิกบางรูปก็ถูกอเปหิแบบพิสดาร จนชาวบ้านก็อดสงสารเห็นใจ แม้กระทั่งคู่กรณีที่มีวิวาทะก็ตกใจปนเห็นใจ ชาวบ้านเริ่มครหาว่า #วัดอาจพิพากษาเกินสัดส่วนความผิดและไม่สมดุลแก่โทษานุโทษหรือไม่ ? เพราะพระทุกรูปล้วนเป็นพี่น้องสหธรรมิกที่ร่วมรับใช้สนองงานเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีรารย์ ผู้เป็นเสมือนบิดามาด้วยกันทั้งสิ้น
เรื่องนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึง “บทกวี ๗ ก้าว” ของ โจ สิด บุตรชายคนที่ ๓ ของโจโฉและนางเปียนซี ที่ร่ายโดย “เปรียบความคับแค้นเศร้าโศกของต้นถั่ว ที่เกิดแต่การใช้เถาถั่วซึ่งกำเนิดแต่รากเดียวกันไปต้มหรือคั่วถั่ว เทียบกับความเศร้าโศกอาดูรของพี่น้องญาติตระกูลเดียวกัน ไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่ล้ำลึกกว่าการที่พี่น้องต้องล้างผลาญกันเอง” ความว่า “..เถาถั่วถูกทำเป็นถ่านเผา ของในเตาล้วนแล้วแต่เม็ดถั่ว กระทบร้อนสะท้อนเสียงเศร้าระรัว ถั่วหนอถั่วมัวเมาเผากันเอง เขาต้มถั่วด้วยถั่วเป็นต้นต้น มันร้อนรนร้องลั่นจากอวยใหญ่ โอ้เกิดหน่อเดียวกันใช่ห่างไกล เหตุไฉนเข่นฆ่าไม่ปราณี คั่วถั่วเอากิ่งนั้น ทำฟืน เผาแฮ เมล็ดถั่วสุดทนฝืน ป่นไหม้ โอ้เมล็ดกิ่งก้านยืน เหง้าราก เดียวนา ไฉนจึงรุนเร่งได้ ดั่งเกรี้ยวโทโส เมล็ดถั่วถูกคั่วกระทะใหญ่ กลางเปลวไฟไหม้เชื้อร้อนเหลือหลาย ทั้งกิ่งก้านรากเถาเผาวอดวาย โอ้น่าอายแท้จริงเราเหง้าเดียวกัน..”

บทกวีฉายภาพสังคมการเมืองระหว่างฆราวาสผู้ครองเรือนที่อุดมไปด้วยกิเลส แต่พระสงฆ์เป็นอนาคาริกผู้ทรงพระธรรมวินัย การเอื้ออาทรและว่ากล่าวตักเตือนโดยธรรม การให้โอกาสกันและกันในการปรับเปลี่ยน น่าจะเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา ที่ทรงใช้พรหมวิหารธรรมและสาราณียธรรมในการปกครองสงฆ์หรือไม่
สำหรับเรื่องนี้ มูลนิธิทนายกองทัพธรรม จะติดตามเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายสงฆ์และกฎหมายบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์จนถึงที่สุด
และอยากถามว่า “ พระวัดชนะสงคราม เป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? จะจัดการเรื่องขับไล่พระมหาอุเทนฯ ออกจากวัดอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและพระธรรมวินัย ในฐานะที่เป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า ?

Leave a Reply