เสน่ห์!! งานประสาทปริญญา “มจร”

เหลือเวลาอีกประมาณ 7 วัน จะมีงานใหญ่งานหนึ่งที่ถือว่าเป็นงานของคณะสงฆ์ไทยคือ งานประสาทปริญญาประจำปีของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ “มจร”  ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถาบันการศึกษาด้านพระพุทธศาสนาระดับอุดมศึกษาที่ใหญ่และมีสาขามากที่สุดในประเทศไทยและในโลก

และนับได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัย “ศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาโลก”  อันเนื่องมาจากเป็น “มหาวิทยาลัยสงฆ์” ที่มีนิสิตนานาชาติเดินทางมาจากทั่วโลก จาก 27 ประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 2,333 รูป/คน  มีครบ “พุทธบริษัทสี่” คือ พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

“มจร” มีวิทยาเขตและวิทยาลัยสงฆ์กระจายอยู่ทั่วประเทศ  ประกอบไปด้วย ส่วนกลาง  12 วิทยาเขต  27  วิทยาลัยสงฆ์  4 หน่วยวิทยบริการ และ สถาบันสมทบอีก 5 แห่งประกอบด้วย วิทยาลัยพระพุทธศาสนาดองกุกชอนบอบ สถาบันฮองกงตุงลัมเพียวแลนด์ วิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติศรีลังกา วิทยาลัยพุทธศาสตร์สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ วิทยาลัยพระพุทธศาสนาธรรมเกทประเทศฮังการี และ มีโรงเรียนในสังกัด 1 แห่ง คือ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

“มจร” มีนิสิตทั้งหมด 25,774 รูป/คน แบ่งออกนิสิตระดับปริญญาตรี 18,159 รูป/คน , นิสิตระดับปริญญาโท 5,081 รูป/คน นิสิตระดับปริญญาเอก 2,534 รูป/คน  ความพิเศษของ มจร คือ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์เรียนร่วมกันได้ โดยแบ่งเป็นนิสิตบรรพชิต 11,974 รูป นิสิตคฤหัสถ์ 13,800 คน ขณะที่ศิษย์เก่าพระภิกษุส่วนใหญ่ล้วนจบการศึกษามาจาก มจร ตั้งแต่ระดับกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นต้น ส่วนศิษย์เก่าคฤหัสถ์รับใช้สังคมได้อย่างมีคุณภาพ

สำหรับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหรือ “มจร”  เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทย “แห่งแรก”  ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสถาปนาขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสถานศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง สำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2430

ปัจจุบันมี “พระพรหมวัชรธีราจารย์” เป็นอธิการบดี มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 5 และพระบุรพาจารย์ อย่างแข็งขัน เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ในการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง สำหรับพระภิกษุสามเณร โดยได้ขยายส่วนงานจัดการศึกษาในส่วนกลางออก 8 แห่ง คือ บัณฑิตวิทยาลัย คณะพุทธศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ วิทยาลัยพระธรรมทูต และ มหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย

“ทีมข่าวเฉพาะกิจ” ลงไปสังเกตบรรยากาศการเตรียมความพร้อมกิจกรรมงานประสาทปริญญาที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 6 – 7 ธันวาคม 2568 นี้ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยได้พูดคุยกับ “เจ้าคุณประสาร”  พระเทพวัชรสารบัณฑิต รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ท่านเล่าว่า  ตอนนี้ทุกภาคส่วนพร้อมเกือบ 100 เปอร์เซ็นแล้ว มีการประชุมซักซ้อมกันหลายครั้งทั้งในส่วนกลางและส่วนวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ ขณะที่ฝ่ายปฎิคมทั้งภายใน ต่างประเทศ และเรื่องอาหารการฉัน รวมทั้งสถานที่รับปริญญา คือ ตึก มวก.48 พรรษา มีการจัดสถานที่บางส่วนเรียบเรียบร้อยแล้ว

“ตอนนี้ใครเข้ามาใน มจร จะเห็นซุ้มประตูขนาดใหญ่งานประสาทปริญญาประจำปี 2568 ฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็มีการติดป้ายทั้งภายนอกและภายในเรียบร้อยหมดแล้ว พร้อมติดตั้งประดับธงตามถนนต่าง ๆ  ขณะที่การซ้อมใหญ่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ธันวาคมนี้ ณ ตึก มวก. 48 พรรษา ผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับชั้นในส่วนกลางจะมารวมตัวกันซ้อมใหญ่เสมือนจริง..

 และปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นเนื่องจากสภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับสมเด็จไวโรจนะ รินโปเช His Eminence Vairochana Rinpoche Ngawang Jigme Jigten Wangchuk แห่งราชอาณาจักรภูฎานโดยพระองค์จะเสด็จมาเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาทกับพระพรหมวัชรธีราจารย์ อธิการบดี ในวันที่ 3 ธันวาคม ต่อจากนั้นในวันอาทิตย์ที่ 7 พระองค์ก็จะเข้ารับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้วย..”

ทุก ๆ ปี เรื่อง “การจราจร” สถานที่จอดรถ เป็นปัญหาที่หลายคน “กังวล” เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์เมื่อปี 2566 ปีนั้นมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจัดงานประสาทปริญญาวันเดียว ก่อให้เกิด “จลาจล” ติดรถเป็นอัมพาตหลายชั่วโมง

“ทีมข่าว” สอบถามจาก ดร.ธัชชนันท์ อิศรเดช ฝ่ายเลขานุการจราจร บอกว่า ปีนี้หายห่วง เพราะจัดที่จอดรถไว้ 8 จุด รองรับทั้งรถใหญ่และรถเล็กได้นับหมื่นคัน มีประตูระบายออกได้ 2 ทาง เรื่องจราจรไม่มีปัญหา

“อาจารย์ใหญ่ คือ ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการฝ่ายกิจการทั่วไป ท่านลงมากำกับดูแลเอง ตรงไหนมีปัญหาแก้ไขได้ทันที ฝ่ายจราจรจะขอความร่วมมือจากคณาจารย์ เจ้าหน้าที่จากคณะสังคมศาสตร์ประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ และโดยเฉพาะส่วนตัวตรงไหนมีปัญหาจะวิ่งไปแก้ไขให้ทันที เรื่องนี้ไม่มีปัญหา..”

ทุก ๆ ปีหากท่านใดได้ไปสัมผัสงานประสาทปริญญาก็คงนึกภาพออกว่า “ดร.สุรพล สุยะพรหม” แม้วัยจะ 65 ปีแล้ว แต่ยังรับหน้าที่โบกรถ ต้อนรับ ผู้เข้าร่วมงานประสาทปริญญาด้วยหน้าตายิ้มแย้มและมีความสุข โดยมีลูกมือซึ่งก็คือลูกศิษย์ที่เป็นอาจารย์บ้าง เจ้าหน้าที่บ้างคอยเป็นลูกมือในการโบกรถ หาสถานที่จอดให้

ขณะที่ “พระพรหมวัชรธีราจารย์” อธิการบดีมักมีภาพปรากฏตามเต็นท์ตามซุ้มต่าง ๆ  คือเดิน “ตรวจงาน” หากไม่ใช่คน มจร คงไม่รู้ว่าเป็น “อธิการบดี มจร” เนื่องจากเดินคนเดียว ไปคนเดียว หากท่านเห็นตรงไหน “ไม่ถูกต้อง” จำเป็นต้องปรับปรุงและแก้ไขก็จะสั่งการ..ทันที

สำหรับ “บรรยากาศ”  งานรับปริญญา มจร หากใครสนใจมาการแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ของแต่ละวิทยาลัยสงฆ์ หรือ การแสดง ต้องมางาน “ประสาทปริญญา” มจร  เพราะที่นี้มี..ครบ จาก 27 ชาติ ประมาณ 40 กว่าชาติพันธุ์

ส่วนประชาชนไทยมาจากทั่วสารทิศเนื่องจาก “มจร” มีวิทยาเขตครอบคลุมทั่วประเทศ บางวิทยาเขต “เจ้าคณะอำเภอ -เจ้าคณะตำบล” หรือ “พระมีชื่อเสียง” จบการศึกษา “ศิษยานุศิษย์” เหมารถบัสมานับสิบคัน หรือพระเถระบางรูปได้รับ “ดุษฎีกิตติมศักดิ์” ลูกศิษย์ลูกหาก็เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก บางคนนำกับข้าวปลาอาหารแห้ง ปูเสือรอ นั่งกิน นอนกิน อยู่ตามโคนต้นไม้ ใต้อาคารต่าง ๆ  บรรยากาศงานรับปริญญา “มจร” จึงไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ

และเป็นประจำทุกปี “มูลนิธิร่วมกตัญญู” โรงทานคุณแม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ  มูลนิธิโพธิวรรณา เปิดโรงทานฟรีตลอด 24 ชั่วโมง  แต่หากใครไม่ชอบทานฟรี..ก็มีร้านอาหารนานาชาติมาบริการ

สำหรับงานประสาทปริญญามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยระหว่างวันที่ 6 -7 ธันวาคม 2568 นี้  สภามหาวิทยาลัย “มจร” มีมติอนุมัติผู้สำเร็จการศึกษา ดังนี้ ระดับดุษฎีบัณฑิต จำนวน 567  รูป/คน ระดับมหาบัณฑิต จำนวน 1,045 รูป/คน และระดับบัณฑิต จำนวน 3,098 รูป/คน   รวมทั้งสิ้น จำนวน 4,909 รูป/คน นอกจากนี้สภามหาวิทยาลัยได้อนุมัติให้ปริญญากิตติมศักดิ์เข็มเกียรติคุณแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ จำนวน 120 รูป/คน ประกอบด้วยระดับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จำนวน 75 รูป/คน   และเข็มเกียรติคุณ จำนวน 45  คน

 จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมสัมผัสบรรยากาศเสน่ห์งานประสาทปริญญา มจร แห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันดับหนึ่งของไทย..

Leave a Reply