กัมมาสธัมมะนิคม เมืองโบราณกลางมหานคร พระ ดร.ณพลเดช ย้ำพลังสติปัฏฐาน 4 นำสู่พระนิพพาน

จากอานาปานสติ ยุบหนอ–พองหนอ ถึงการบริกรรมภาวนา พระ ดร.ณพลเดช อธิบายว่าทุกแนวทางล้วนบรรจบกันที่สติปัฏฐาน 4 ณ กัมมาสธัมมะนิคม จุดกำเนิดธรรมะที่ยังร่วมสมัยและเป็นหนทางตรงสู่ความพ้นทุกข์

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการด้านพุทธศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ขณะนี้มาเดินตามรอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะพระภิกษุพร้อมกับ ผศ.ดร.วิเวก ศากยะ ตามคำแนะนำของ ดร.ฮิโรฮิโต้ ผู้อำนวยการ amrat Ashok Subharti school มหาวิทยาลัย SVSU ประเทศอินเดีย การเดินทางไปยังสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา คือ กัมมาสธัมมะนิคม เมืองโบราณของแคว้นกุรุ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตไกรลาศตะวันออก (Greater Kailas) กรุงนิวเดลี สถานที่แห่งนี้ได้รับการยืนยันในพุทธประวัติว่าเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มหาสติปัฏฐานสูตร ครับ เป็นหัวใจของการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น โดยยังปรากฏเนินหินและเสาหินโบราณที่เชื่อว่าเป็นหลักฐานการจารึกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

ที่กัมมาสธัมมะนิคมมีลักษณะเป็นเนินหินสีแดงขนาดย่อม ตั้งอย่างสงบเงียบ ท่ามกลางความเจริญของมหานครนิวเดลี เดินเข้าไปมีต้นโพธิ์ร่มเย็น ความสำคัญของสถานที่นี้ไม่ได้อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ทางกายภาพ หากแต่อยู่ที่สาระของธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง นั่นคือ สติปัฏฐาน 4 ครับ ซึ่งประกอบด้วย กายานุปัสสนา (การมีสติรู้กาย) เวทนานุปัสสนา (การรู้เวทนา) จิตตานุปัสสนา (การรู้จิต) และธรรมานุปัสสนา (การรู้สภาวธรรม) อันเป็นโครงสร้างหลักของการเจริญปัญญาให้เห็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจน

ในทางปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 ไม่ได้เป็นแนวทางที่แยกขาดจากการภาวนาแบบอื่น หากแต่เป็น “แกนกลาง” ที่เชื่อมโยงกับ วิธีเจริญสมาธิ 40 ประการ หรือกรรมฐาน 40 กอง ตามคัมภีร์ เช่น อานาปานสติ กสิณ เมตตาภาวนา หรือพิจารณาอสุภะ วิธีการเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “อารมณ์กรรมฐาน” เพื่อให้จิตตั้งมั่น ขณะที่สติปัฏฐาน 4 ทำหน้าที่กำกับให้จิตเห็นความจริงของสภาวะตามที่เป็นจริง เมื่อสมาธิและสติทำงานร่วมกัน ปัญญาจึงเกิด และนำไปสู่ความคลายกำหนัด ความดับ และนิพพานในที่สุด

ส่วนตัวเห็นการเชื่อมโยงดังกล่าวสามารถเห็นได้ชัดในแนวปฏิบัติที่แพร่หลายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น อานาปานสติ ที่ใช้ลมหายใจเข้า–ออกเป็นหลัก เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติรู้ลมหายใจ ก็เข้าข่ายกายานุปัสสนา พร้อมกันนั้นยังรับรู้เวทนา ความสุข–ทุกข์ทางกายและใจ รู้ทันสภาพจิต และพิจารณาธรรมที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา หรือแนว ยุบหนอ–พองหนอ ในสายวิปัสสนา ที่ใช้การเคลื่อนไหวของท้องเป็นอารมณ์หลัก ก็เป็นการตั้งสติในกาย แล้วขยายผลไปสู่เวทนา จิต และธรรมเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกัน แนวภาวนาแบบ “สัมมาอะระหัง” ในสายสมถะ ก็ใช้พุทโธหรือคำบริกรรมเป็นเครื่องรวมจิต เมื่อจิตตั้งมั่น ผู้ปฏิบัติสามารถใช้สติปัฏฐาน 4 เป็นกรอบพิจารณาสภาวะที่เกิดขึ้นในสมาธินั้นได้เช่นกัน จึงเห็นได้ว่า แม้รูปแบบภายนอกของการปฏิบัติจะต่างกัน แต่อาศัยหลักเดียวกันคือ สติ สมาธิ และปัญญา ตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้

สาระสำคัญ คือ ผลแห่งการปฏิบัติย่อมเหมือนกัน หากตั้งอยู่บนหลักธรรมที่ถูกต้อง ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะเลือกอานาปานสติ ยุบหนอ–พองหนอ หรือการบริกรรมใด ๆ หากใช้สติปัฏฐาน 4 เป็นฐาน ย่อมนำไปสู่การเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน อันเป็นหนทางตรงสู่ความหลุดพ้นอย่างแท้จริงครับ ขออนุโมทนา

Leave a Reply