คอลัมน์ : ของดีจากชาดก
ผู้เขียน : ประสิทธิ์ แสงทับ
***********************
ชาดกเป็นเรื่องเล่าลักษณะนิทานเชิงศาสนาแนวพุทธ ให้คติสอนใจ มีตัวละครครบถ้วน พระเอก นางเอก ตัวโกง เริ่มต้น จบเรื่อง อ่านแล้วเพลินน่าติดตาม มีพุทธพจน์แซกอยู่ทุกเรื่อง ที่สำคัญเรื่องราวชาดกนี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นชั้นอรรถกถา กล่าวง่ายคือ พระอรรถกถาจารย์ท่านฉลาด โดยนำเรื่องราวพื้นถิ่นมาผูกเรื่อง แล้วนำเอาพุทธพจน์ใส่ประกอบเข้าไปในทุกเรื่องนั่นเอง
วันนี้จะขอนำเอาเรื่องชาดกมาเล่าตามที่ได้ตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “ ของดีจากชาดก[substance in allegory]” ใจจริงอยากตั้งชื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ใครบ้า ตามธรรมเนียมการแต่งหนังสือทางศาสนาในชาดก ท่านจะเริ่มด้วยการนำพุทธศาสนสุภาษิตมาตั้งไว้ก่อนแล้วคล้ายจะสอนให้คนอ่านหรือฟังว่าจะได้สาระอะไรในเรื่องนี้แล้วจึงชักเอาเรื่องราวในอดีตมากล่าวเหมือนเชิงบุคลาธิษฐานฉายให้เห็นภาพที่ชัดเจนจะได้จดจำได้
ใครบ้า เริ่มเรื่องที่คำสอนว่า
“ ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมตามเขาไป
เหมือนเงาติดตามตัวเขาฉะนั้น.”
แล้วก็มาถึงนิทานธรรมว่า เศรษฐีเมืองสาวัตถีนามว่า อทินนปุพพกะ ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะ เขาไม่เคยให้สิ่งของอะไรๆ แก่ใครๆ มีบุตรคนเดียวรูปงามน่ารักมาก อยากทำเครื่องประดับให้แต่คิดว่า ถ้าจักจ้างช่างทอง ก็จะต้องให้ค่ากำเหน็จ ด้วยความตระหนี่จึงนำทองคำมาแผ่ทำเป็นตุ้มหูเกลี้ยงๆให้บุตรตน ทุกคนในหมู่บ้านจึงเรียกชื่อบุตรเศรษฐีนั้นว่า “มัฏฐกุณฑลี”
เมื่อบุตร อายุได้ ๑๖ ปี เกิดเป็นโรคผอมเหลือง แม่ไปสามีเศรษฐีว่า โรคเกิดขึ้นแล้วแก่ลูกของเราแล้ว ขอท่านหาหมอมารักษาเขา เถิด เศรษฐีได้ตอบว่า ถ้าหาหมอมา, ก็ต้องให้ค่ารักษาเขา ช่างไม่มองดูความเปลืองทรัพย์ของเราบ้าง ภรรยาถามว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไร ได้คำตอบว่า ทรัพย์เราจะไม่พร่องไปได้อย่างใด เราจะทำอย่างนั้น เศรษฐีไปพบหมอถามว่า พวกท่านวางยาขนานไหนแก่คนที่เป็นโรคชนิดโน้น ได้คำตอบว่า โรคอย่างนี้ใช้เปลือกไม้ชนิดนี้ จึงไป เอารากไม้ตามพวกหมอบอกให้มา ทำยาให้บุตร เมื่อทำอยู่เช่นนั้น โรคได้ กำเริบไม่สามารถเยียวยาได้เมื่อเห็นบุตรทุพพลภาพ จึงหาหมอมาคนหนึ่งมาตรวจดูหมอพูดเลี่ยงว่า ข้าพเจ้ามีกิจ ท่านจงหาหมออื่นมาให้รักษาเถิดแล้วบอกเลิกเศรษฐี แล้วก็ลาไป เศรษฐีรู้ ว่าบุตรตนจวนจะตายแล้วคิดว่าเหล่าชนที่ มาเยี่ยมเยียนบุตรเรา จักเห็นทรัพย์สมบัติภายในเรือน จึงนำเอาบุตร ออกมาให้นอนที่ระเบียงเรือนข้างนอก ดูเถิดครับเพราะตระหนี่ทำให้เศรษฐีละเลยหน้าที่พ่อแม่ได้
ประจวบกับช่วงนั้นเป็นเวลาปัจจุสมัย (คือเวลาจวนสว่าง) พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงเล็งดูโลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทอดพระเนตรดูอุปนิสัยเหล่าสัตว์ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์อันพระองค์พอแนะนำได้ ซึ่งมีกุศลมูลอันหนาแน่นแล้ว มีความปรารถนาได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย ได้ทรงแผ่ข่ายคือพระญาณไปในหมื่นจักรวาล แล้วมัฏฐกุณฑลีเศรษฐีบุตรมาปรากฏภายในข่าย คือพระญาณในอาการนอนซมโรคที่ระเบียงข้างนอกอย่างนั้น
เมื่อทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงทราบว่า บิดานำเขาออกจากภายในเรือนแล้ว ให้นอนในที่นั้น ทรงดำริว่า จะมีประโยชน์บ้างหรือไม่หนอ ด้วยปัจจัยที่เราไปในที่นั้น ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า เศรษฐีบุตรนี้จักทำจิตให้เลื่อมใสในเรา ทำกาละแล้ว จักเกิดในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ในดาวดึงสเทวโลก มีนางอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่ง เศรษฐีเมื่อทำฌาปนกิจแล้วจักร้องไห้ไปในป่าช้า เทพบุตรจักมองดูอัตภาพตนสูงประมาณ ๓ คาวุต (สามร้อยเส้น) ประดับด้วยเครื่องอลังการ หนัก ๖๐ เล่มเกวียน มีนางอัปสรเป็นบริวารพันหนึ่งจัก คิดว่า สิริสมบัตินี้ เราได้ด้วยกรรมอะไรหนอ ก็จะทราบว่าได้ด้วยจิตเลื่อมใสในเราคิดว่า บิดาไม่หาหมอมาให้ประกอบยารักษาเรา เพราะเกรงว่าทรัพย์จะหมดไป เดี๋ยวนี้ไปป่าช้าร้องไห้อยู่ เราจักทำเขาให้ถึงประการอันแปลก ด้วยความขัดเคืองบิดา จักจำแลงตัวเหมือนมัฏฐกุณฑลีมาณพ มาแสร้งร้องไห้อยู่ในที่ใกล้ป่าช้า เศรษฐีจักถามเขาว่า เจ้าเป็นใคร เมื่อได้ตอบว่ามัฏฐกุณฑลี บุตรของท่าน ก็จะถามว่าไปเกิดในภพไหน ตอบว่าภพดาวดึงส์
เมื่อเศรษฐีจะถามว่าเพราะทำกรรมอะไร จักบอกว่าเพราะจิตที่เลื่อมใสในเรา จักถามเราว่าเพียงทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ เท่านั้น ก็ไปเกิดในสวรรค์ มีหรือ เราจักตอบเขาว่า ไม่มีใครอาจจะกำหนดด้วยการนับได้ว่า มีประมาณเท่านั้นร้อย หรือเท่านั้นพัน หรือเท่านั้นแสน สุดท้ายเราตถาคต จักภาษิตคาถา ความตรัสรู้ธรรมจักมีแก่สัตว์ประมาณแปดหมื่นสี่พัน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจักเป็นพระโสดาบัน อทินนปุพพกเศรษฐีก็เหมือนกัน ด้วยอาศัยกุลบุตรนี้ การบูชาธรรมเป็นอันมากจักมี
ในวันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์ทรงทำ พระสรีระเสร็จแล้ว ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว เสด็จเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี รับบิณณฑบาต เสด็จถึงประตูเรือนของเศรษฐีโดยลำดับ
ในขณะนั้น มัฏฐกุณฑลี กำลังนอนผินหน้าไปข้างในเรือน พระพุทธองค์ทรงทราบว่าไม่เห็นพระองค์ จึงได้เปล่งพระรัศมีไปวาบหนึ่ง มาณพคิดว่า นี่แสงสว่างอะไร จึงนอนพลิกกลับมา เห็นพระศาสดาแล้ว คิดว่า เราอาศัยบิดาเป็นอันธพาล จึงไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นปานนี้ ทำความขวนขวายด้วยกาย หรือถวายทาน หรือฟังธรรม เดี๋ยวนี้แม้แต่มือสองข้างของเราก็ยกไม่ไหว กิจที่ควรทำอย่างอื่นไม่มี ได้ทำใจเท่านั้นให้เลื่อมใส ในพุทธองค์ เพียงเท่านี้ก็เสด็จหลีกไปแล้ว พอกำลังเสด็จลับตาไป เศรษฐีบุตรมีใจเลื่อมใส ตายแล้ว เป็นประดุจดังว่า หลับแล้วกลับตื่นขึ้น ไปเกิดในวิมานทองสูงประมาณ ๓๐ โยชน์ในเทวโลก อัศจรรย์จริงๆบุญเพียงแค่นี้แต่ผลนั้นมากมาย
เมื่อฌาปนกิจสรีระบุตรแล้ว เศรษฐีร้องไห้ไปที่ป่าช้า ทุกวันๆ ร้องไห้พลางบ่นพลางว่า เจ้าลูกคนเดียวของพ่ออยู่ที่ไหน เจ้าลูกคนเดียวของพ่ออยู่ที่ไหน เทพบุตรทราบเรื่องราวตนเองและผลบุญที่ได้สมบัติทิพวิมาน จึงคิดว่า เศรษฐีนี้ เมื่อเราไม่สบาย ไม่หาหมอมารักษา เดี๋ยวนี้ ไปป่าช้าร้องไห้อยู่ ควรที่เราจะทำแกให้ถึงประการอันแปลก จึงจำแลงตัวเหมือนมัฏฐกุณฑลี มาแล้ว ได้กอดอกยืนร้องไห้อยู่ ในที่ไม่ไกลป่าช้า
เศรษฐีเห็นเขา คิดว่าเราร้องไห้เพราะโศกถึงบุตร เจ้าหนุ่มนั่นนั่นร้องไห้เรื่องอะไร จะถามเขาดูคนอินเดียเก่งคำประพันธ์ ได้กล่าวคาถาว่า
” ท่าน แต่งตัวแล้ว เหมือนมัฏฐกุณฑลี ประดับ
ดอกไม้ ตัวหอมฟุ้งด้วยจันทน์เหลือง ยืนกอดอกคร่ำครวญ อยู่ กลางป่าช้า ท่านเป็นทุกข์อะไรหรือ..
มาณพกล่าวว่า
เรือนรถ ทำด้วยทองคำ ผุดผ่อง เกิดขึ้น
แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหาคู่ล้อของมันยังไม่ได้
ข้าพเจ้ายอมเสียชีวิต เพราะความทุกข์นั้น
พราหมณ์พูดกะเขาว่า
มาณพผู้เจริญ คู่ล้อของมันนั้น จะทำด้วย
ทองคำก็ตาม ทำด้วยแก้วก็ตาม ทำด้วยโลหะก็ตาม
ทำด้วยเงินก็ตาม ท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด
ข้าพเจ้าจะรับประกันให้ท่านได้คู่ล้อนั้น
เทพบุตร คิดในใจว่า เศรษฐีนี้ไม่ทำยาให้บุตร ครั้นมาเห็นเรารูปร่างคล้ายบุตร ร้องไห้อยู่พูดว่า จะทำล้อรถซึ่งทำด้วยทองคำเป็นต้นให้ ช่างเถิด เราจักแกล้งแกเล่น จึงกล่าวว่า ท่านจะทำคู่ล้อให้แก่ข้าพเจ้าโตเท่าไรเศรษฐีนั้นกล่าวว่า ท่านจะต้องการโตเท่าไรเล่า
จึงบอกว่า
ข้าพเจ้าต้องการด้วยพระจันทร์ และพระอาทิตย์
ทั้งสองดวง เมื่อข้าพเจ้าขอแล้ว โปรดให้พระจันทร์
และพระอาทิตย์ทั้งสองนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด
เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวซ้ำแก่เขาว่า
“พระจันทร์และพระอาทิตย์ ส่องแสงเป็นคู่กัน
ในวิถีทั้งสอง รถของข้าพเจ้าทำด้วยทองคำ ย่อมงาม
สมกับคู่ล้ออันนั้น..”
เศรษฐีตอบเขาว่า
หนุ่มน้อย เจ้าปรารถนาของที่ไม่ควรปรารถนา
เป็นคนเขลาแท้ๆ เราเข้าใจว่า เจ้าจักตายเสียเปล่า
จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองเลย
มาณพจึงพูดกะเศรษฐีนั้นว่า บุคคลผู้ร้องไห้ เพื่อต้องการสิ่งซึ่งปรากฏอยู่ เป็นคนเขลา หรือว่าบุคคลผู้ร้องไห้เพื่อต้องการสิ่งซึ่งไม่ปรากฏอยู่ เป็นคนเขลาเล่า ได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ว่า
แม้ความไปและความมา ของพระจันทร์
และพระอาทิตย์ก็ปรากฏอยู่ วรรณะสีแสงแห่ง
พระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็ปรากฏอยู่ในวิถีทั้ง
สอง ส่วนชนที่ทำกาละ ตายไปแล้ว ใครก็ไม่แล
เห็น บรรดาเราทั้งสอง ผู้คร่ำครวญอยู่ในที่นี้
ใครจะเป็นคนเขลากว่ากัน
พูดง่ายๆใครเล่าบ้ากันแน่ พเศรษฐีได้ฟังคำนั้นแล้ว ก็รู้ว่า ไอ้หนุ่มนี่พูดถูก จึงกล่าวว่า
พ่อหนุ่มเจ้าพูดจริง บรรดาเราทั้งสอง
ผู้คร่ำครวญอยู่ ในที่นี้ เราเองเป็นคนเขลากว่า
เราอยากได้บุตรที่ทำกาละแล้วคืนมา เป็นเหมือน
ทารกร้องไห้อยากได้พระจันทร์
สติเริ่มกลับมา เป็นผู้หายโศก เพราะถ้อยคำของเทพบุตรนั้น เมื่อจะทำความชมเชยเทพบุตรได้กล่าวคาถาประพันธ์ว่า
เจ้าหนุ่ม มารดเราซึ่งร้อนหนักหนา
เหมือนบุคคลดับไฟที่ติดน้ำมันด้วยน้ำ เราย่อมยัง
ความกระวนกระวายทั้งปวง ให้ดับได้ เจ้าผู้บรรเทา
ความโศกถึงบุตรของเรา อันความโศกครอบงำ
แล้ว ได้ถอนลูกศรคือความโศกอันเสียดหฤทัยเรา
ออกได้แล้ว เรานั้นเป็นผู้มีลูกศรอันเจ้าถอนเสีย
แล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว พ่อหนุ่มน้อย เราหายเศร้า โศก หายร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำของเจ้า
เศรษฐีกล่าวถามเทพบุตร ว่า
เจ้าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือว่าเป็น
ท้าวปุรินททสักกเทวราช ท่านชื่อไร หรือเป็น
บุตรของใคร อย่างไรเราจะรู้จักท่านได้
เทพบุตรบอกเศรษฐีว่า
ท่านเผาบุตรคนใด ในป่าช้าเองแล้ว ย่อม
คร่ำครวญและร้องไห้ถึงบุตรคนใด บุตรคนนั้น
คือข้าพเจ้า ทำกุศลกรรมแล้ว ถึงความเป็นเพื่อน
ของเหล่าไตรทศ เทพดา
เศรษฐีได้กล่าวว่า
เมื่อท่านให้ทานน้อยหรือมาก ในเรือนของตน
หรือรักษาอุโบสถกรรมเช่นนั้นอยู่ เราไม่เห็น
ท่านไปเทวโลกได้เพราะกรรมอะไร
เทพบุตรได้กล่าวตอบว่า
ข้าพเจ้ามีโรค เจ็บลำบาก มีกายระส่ำระสาย
อยู่ในเรือนของตน ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก
กิเลสธุลี ข้ามความสงสัยเสียได้ เสด็จไปดี มีพระ
ปัญญาไม่ทราม ข้าพเจ้านั้นมีใจเบิกบานแล้ว มีจิต
เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายอัญชลีแด่พระตถาคตเจ้า
ข้าพเจ้าได้ทำกุศลกรรมนั้นแล้ว จึงได้ถึงความเป็น
เพื่อนของเหล่าไตรทศเทพดา
เมื่อเทพบกำลังพูด อยู่นั่น สรีระ ของเศรษฐีเต็ม ด้วยปีติ ได้กล่าวว่า
น่าอัศจรรย์หนอ น่าประหลาดหนอ วิบาก
ของการทำอัญชลีนี้ เป็นไปได้เช่นนี้ แม้ข้าพเจ้ามี
ใจเบิกบานแล้ว มีจิตเลื่อมใสแล้ว ถึงพระพุทธเจ้า
ว่า “เป็นสรณะในวันนี้”
เทพบุตรได้กล่าวบอกเขาว่า ท่านจงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะในวันนี้เถิดจงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส สมาทานสิกขาบท ๕ อย่าให้ขาดทำลาย จงรีบเว้นจากปาณาติบาต จงเว้นของที่เจ้าของยังไม่ให้ในโลก จงอย่าดื่มน้ำเมา จงอย่าพูดปด, และจงเป็นผู้เต็มใจด้วยภรรยาของตน เศรษฐีรับว่า สาธุ ได้ภาษิตคาถาเประพันธ์ว่า
… ดูก่อนยักษ์ ท่านมุ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำตามถ้อยคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ จะรีบสมาทานศีล ๕ ให้สมบูรณ์…” เทพบุตรกล่าว ว่า ท่านเศรษฐี ทรัพย์ในเรือนของท่านมีมาก จงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายทาน จงฟังธรรม จงถามปัญหาเถิด แล้วก็อันตรธานไป
เศรษฐีกลับไปเรือนแล้วเรียกภรรยามาสั่ง ให้คนตกแต่งขาทนียโภชนียาหารไว้ในเรือนของตนให้พร้อม อังคาสแล้ว (เลี้ยงแล้ว)พระบรมศาสดาและพระสงฆ์ ด้วยขาทนียโภชนียาหาร โดยเคารพ ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ได้ทูลถามปัญหาว่า มีหรือ เหล่าชนที่ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้รักษาอุโบสถเลย ได้ไปเกิดในสวรรค์ เพียง ใจเลื่อมใสอย่างเดียว
พุทธองค์จึ ตรัสว่า เศรษฐีใช่ว่าจะมีแต่ร้อยเดียวและสองร้อย โดยที่แท้ การที่จะนับเหล่าสัตว์ซึ่งทำใจให้เลื่อมใสในเราแล้วเกิดในสวรรค์นับไม่ถ้วนเลย อานุภาพพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ยิ่งนัก มหาชนแซ่ซ้องสาธุการ….
ขอบุญรักษาสาธุชนทุกท่านเทอญ
ขอบคุณภาพ : เวปพันทิปหมวดศาสนา
https://storyhis.wordpress.com/
http://www.dhammathai.org/
Leave a Reply