พระสังฆราชทรงเชิดชู อาจารย์สุชีพ ผู้ผลิต “พระไตรปิฏกฉบับประชาชน”

       เมื่อวันพุธ ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใน พิธีสมโภชพระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชน ฉบับวาระ ๑๐๐ ปีชาตกาล อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ

  

 โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า

          “ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อวงการศึกษาพระพุทธศาสนา ทั้งในประเทศและในระดับสากล ความรู้ความสามารถของท่าน ทั้งคดีธรรมและคดีโลก ตลอดจนจริยวัตรอันงดงาม เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อศิษย์ เป็นนักปราชญ์ที่สุภาพอ่อนโยน ยังเป็นที่จดจำ เป็นที่ประทับใจของผู้มีโอกาสได้รู้จัก ใกล้ชิด และได้รับความอนุเคราะห์จากท่านมิเสื่อมคลาย

           อาตมภาพได้เล่าเรียนในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย จึงมีบุญได้เป็นศิษย์ของท่าน และยังคงระลึกถึงพระคุณของท่านอาจารย์สุชีพอยู่เสมอ

         การที่ท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะมหามกุฏราชวิทยาลัย สถาบันซึ่งเป็นหนี้พระคุณของท่านโดยตรง ร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวาระ ๑๐๐ ปีชาตกาล ด้วยการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน อันเป็นผลงานชิ้นเอก ย่อมเป็นที่น่าอนุโมทนายกย่องในความกตัญญูกตเวที

        ‘ศาสนา’ แปลว่าคำสั่งสอน ‘พระพุทธศาสนา’ หมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม พระพุทธศาสนาที่แท้จริงจึงหมายถึง ‘พระธรรม’ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ แม้เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธศาสนาจักไม่มีวันสูญสิ้นพระศาสดา ตราบที่พระธรรมคำสั่งสอนยังสถิตสถาพรอยู่

           และ ‘พระไตรปิฎก’ นี้เอง คือแหล่งรวบรวมพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ใส่ใจศึกษาพระไตรปิฎก ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง

             ท่านอาจารย์สุชีพ ได้อุตสาหะย่อพระไตรปิฎกหลายสิบเล่มลงไว้เป็นเล่มเดียว เพื่อประชาชนจะได้เข้าถึงได้โดยง่าย และเป็นประตูไปสู่การค้นคว้า ศึกษา วิจัย เพิ่มเติมต่อไป นับเป็นงานอันทำได้ยากยิ่ง แต่ท่านก็ทำสำเร็จ เพราะความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา

           อาตมภาพจึงขอย้ำเตือนกับทุกท่านว่า ขอจงมีความกตัญญูกตเวทีต่อบูรพาจารย์ ขอจงอย่าทอดทิ้งกิจธุระของท่าน และขอจงช่วยกันสืบสานปณิธานของท่านอาจารย์สุชีพ ในการช่วยให้มหาชนทั้งหลายได้เข้าถึงพระธรรม”

เกียรติประวัติ อาจารย์สุชีพ  ปุญญานุภาพ

       อาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2460 ที่ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางปลา (อำเภอบางเลน ในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 12 คนที่เกิดร่วมพ่อแม่เดียวกัน แต่ทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ เหลือท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ท่านว่า “บุญรอด” ภายหลัง ท่านได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘สุชีพ’  ตามฉายาภาษาบาลีของท่านคือ “สุชีโว” (ผู้มีชีวิตที่ดี) ซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านได้ตั้งให้เพื่อเป็นสิริมงคล

      อาจารย์สุชีพสร้างลูกศิษย์ผู้ชำนาญทางพระพุทธศาสนามากมายทั่วประเทศ ทั้งพระทั้งฆราวาส ศิษยานุศิษย์เหล่านี้ต่างมีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาระดับชั้นต่าง ๆ ของสังคม อาทิ พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ), พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช), พระเทพปริยัติวิมล (แสวง ธมฺเมสโก) รักษาการอธิการบดีมหามกุฏราชวิทยาลัย, พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย), รศ.ดร. สุภัทร ปัญญาทีป, รศ. สุวรรณ เพชรนิล, วศิน อินทสระ, ศ. แสง จันทร์งาม (หรือ ธรรมโฆษ), รศ.ดร. สุนทร ณ รังษี, เสถียร โพธินันทะ, สุเชาวน์ พลอยชุม ฯลฯ รวมทั้งเจ้าอาวาสวัดหลายแห่งทั่วประเทศไทย จากความพยายามในการพัฒนาการศึกษาสงฆ์จนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ของท่าน

ประวัติการศึกษา

เปรียญ ๙ ประโยค วัดกันมาตุยาราม ขึ้นกับสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส

ปร.ด (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ปร.ด (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ศน.ด (กิตติมศักดิ์) มหามกุฏราชวิทยาลัย

ท่านสำเร็จการศึกษาเปรียญ 9 ประโยค วัดกันตมาตุยาราม ซึ่งขึ้นกับสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร อย่างไรก็ดี แม้ว่าท่านจะจบเปรียญ ๙ ประโยค แต่ท่านก็มีวิริยะอุตสาหะเรียนรู้วิชาสมัยใหม่อื่นๆ ด้วยตนเองเป็นหลัก จึงชำนาญหลาย ๆ วิชา อาทิ ภาษาอังกฤษ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาปรากฤต ท่านสามารถค้นวรรณคดีและพจนานุกรมภาษาเหล่านี้ได้อย่างละเอียด สำหรับภาษาสันสกฤตนั้น ท่านเป็นศิษย์ของ พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ตอนหลัง ท่านได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหงและ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เคยให้สัมภาษณ์ว่าบุคคลในพระพุทธศาสนาในอุดมคติที่ท่านถือเป็นแบบในการพัฒนาตนเป็นนัก วิชาการทางพระพุทธศาสนาคือพระวชิรญาโณ ภิกฺขุ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านเคยให้เหตุผลว่าสองท่านนี้เป็นคนไทยรุ่นบุกเบิกที่ประยุกต์พระพุทธศาสนาให้เข้ากับสังคมร่วมสมัยโดยนำเอาวิชาการสมัยใหม่มาใช้เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพอยู่ในเพศพระภิกษุจนได้ตำแหน่งสมณศักดิ์ที่ ‘พระศรีวิสุทธิญาณ’ สมัยที่ท่านยังเป็นพระภิกษุนั้น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ต่อมาได้ลาสิกขาสู่เพศฆราวาส ระหว่างที่ท่านลาสิกขาเมื่ออายุ 35 ปี หลังจากสึกหาลาเพศแล้ว ท่านเช่าห้องพักที่ถนนข้าวสาร บางลำภู ก่อนจะย้ายไปปลูกบ้านหลังใหม่บริเวณถนนสุขุมวิท

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สุภาพอ่อนโยน ในด้านความรู้ทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านได้รับการยกย่องจาก ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีและประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ว่าเป็น พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ หมายเลข 1 ของประเทศเพราะท่านสามารถอธิบายและตอบคำถามทาง พระพุทธศาสนา หรือหลัก พุทธธรรม ได้ทุกอย่างอย่างละเอียด พร้อมอ้างที่มาในพระไตรปิฎกให้เพื่อการค้นคว้าต่อไปอย่างแม่นยำอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองชาวพุทธจำนวนมากจึงได้กล่าวขานถึงท่านด้วยฉายา ‘พระไตรปิฎกเคลื่อนที่’ ตาม ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์

บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย

สมัยเป็นพระภิกษุอยู่วัดกันตมาตุยาราม ท่านเปิดสอนวิชาพระพุทธศาสนาควบคู่กับวิชาทางโลกสมัยใหม่ให้ศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระภิกษุและสามเณร รวมทั้งประชาชนทั่วไป ต่อมา พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แนะนำให้ท่านรื้อฟื้นมหามกุฏราชวิทยาลัย อันเป็นวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ยุบกิจการไปนานแล้ว หลังจากประสบปัญหาต่างๆ และเสนอแนะให้ท่านมาใช้สถานที่ในวัดบวรนิเวศวิหาร ท่านจึงพาลูกศิษย์มาขอใช้สถานที่ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเริ่มเปิดเรียนเป็นกิจลักษณะ แม้จะมีการต่อต้านจากพระสงฆ์ผู้ใหญ่มาก เพราะถือว่าวิชาความรู้สมัยใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นเดรัจฉานวิชา แต่ท่านก็สู้อดทน วัตถุประสงค์ก็คือ ต้องการสร้างบุคลากรที่สามารถประยุกต์ พุทธธรรม ให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ จนกระทั่ง ได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งได้ออกโรงสนับสนุนด้วยพระองค์เอง โดยมีพระบัญชาให้ประกาศเพื่อตั้งสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มหาวิทยาลัยสงฆ์ ไทยในยุคใหม่

หลายสิบปีผ่านไป แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์เถื่อนเพราะรัฐบาลไม่ยอมรับรอง แต่พระสงฆ์ก็เรียกร้องรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ปีพุทธศักราช 2527 รัฐบาลก็ตรากฎหมายรับรอง และในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งก็ได้รับการรองรับให้เป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ อย่างสมบูรณ์ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมักห้ามศิษยานุศิษย์มิให้กล่าวหรือเขียนยกย่องท่านในที่สาธารณะ ตามนิสัยถ่อมตัวและรักสันโดษของท่าน จึงไม่ค่อยมีคนทราบประวัติและความดีที่ท่านทำอยู่เบื้องหลังการก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์เท่าใดนัก เนื่องในงานประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกครั้งที่ 4 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ มหามกุฏราชวิทยาลัย และองค์กรพุทธชาวญี่ปุ่นร่วมเป็นเจ้าภาพจัด ระหว่างวันที่ 1-5 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมาและมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วทุกมุมโลก ดร. ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ ได้นำเสนอบทความว่าด้วยประวัติและผลงานของท่านอาจารย์สุชีพ เป็นครั้งแรกที่มีเขียนประวัติท่านเป็นภาษาอังกฤษค่อนข้างละเอียด โดยได้เชิญชวนให้บรรดาผู้นำชาวพุทธทั่วโลกที่มาร่วมชุมนุมร่วมยกย่องท่านอาจารย์สุชีพเป็น“บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย”(The Father of Modern Buddhist University in Thailand) เพื่อประกาศเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏ

คำว่า บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย เพื่อยกย่องอาจารย์สุชีพนี้ ดร.ปฐมพงษ์ริเริ่มนำมาใช้ในบทความชื่อ Sujib Punyanubhab: His Life and Work เป็นบทความขนาดยาว รวมอยู่ในหนังสือ Buddhist Unity in the Globalisation Age ซึ่ง มหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาได้จัดพิมพ์เมื่อคราวจัดประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกนั่นเอง บทความดังกล่าวเชิญชวนให้บรรดาชาวพุทธระดับผู้นำซึ่งมาประชุมพร้อมกันได้รับรู้ถึงคุณูปการที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้กระทำต่อพระพุทธศาสนาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กล่าวคือสมัยศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมวัตถุนิยมใหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยมาก ประชาชนทั่วประเทศกำลังเบนเข็มไปพัฒนาประเทศในแนววัตถุนิยม หลงลืมพระพุทธศาสนา หลายคนพูดไทยปนฝรั่ง ในขณะที่พระสงฆ์ก็เทศน์คำไทยปนคำบาลีสันสกฤต ไม่มีความรู้ในวิชาการทางโลกพอจะเข้าใจชาวบ้าน พระสงฆ์ถูกมองว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ของประเทศ การศึกษาของสงฆ์ไม่สัมพันธ์กับสังคมที่เปลี่ยนไป ฯลฯ

เมื่อสังคมมีแนวโน้มที่จะเชื่ออย่างนี้ สุชีโว ภิกฺขุ (หรือ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ) ได้พยายามรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ถูกยุบไปใหม่ แรกเริ่มท่าน ได้เปิดสอนวิชาพระพุทธศาสนาแนวประยุกต์กับศาสตร์สมัยใหม่ที่วัดกันตมาตุยาราม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเยาวราช ให้แก่พระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา หลังจากนั้น พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ ป.ธ.๖) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารได้นิมนต์ท่านให้มาใช้สถานที่ของวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อเปิดสอนให้เป็นกิจจะลักษณะในรูปวิทยาลัย พร้อมทั้งแนะให้รื้อฟื้น มหามกุฏราชวิทยาลัย ด้วย

ท่านสุชีโว ภิกขุจึงพาลูกศิษย์ที่สนใจเรียนด้วยมาเปิดเรียนที่ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยใช้อาคารตึก มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นสถานที่เรียน พระสงฆ์สามเณรที่สนใจประยุกต์หลัก พุทธธรรม ก็พากันมาเรียนกับท่านสุชีโว ภิกขุเป็นจำนวนมาก แต่พอมีข่าวว่า ท่านสุชีโว ภิกขุจะรื้อฟื้นวิทยาลัยสงฆ์แล้วเปิดการสอนในรูปแบบมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าบรรดาพระเถรานุเถระระดับเจ้าอาวาสวัดทั่วประเทศจำนวนมากต่อต้าน บอกว่าวิชาสมัยใหม่เป็นเดรัจฉานวิชา ขณะเดียวกัน ก็พากันห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรในวัดออกไปร่วมกิจกรรมกับสุชีโวภิกขุ พระเถระผู้ใหญ่หลายท่านอ้างว่าการไปเรียนวิชาสมัยใหม่จะทำให้พระสงฆ์สามเณรสึกหาลาเพศกันมากขึ้น ทำให้จำนวนพระภิกษุสามเณรลดลง ตัวท่านเองเป็นเป้าของการติฉินนินทานานัปประการ ถูกมองว่าจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระพุทธศาสนาก็มี

สุชีโวภิกขุจึงพยายามอย่างหนักที่จะทำความเข้าใจ กับพระสงฆ์ผู้ใหญ่ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่เห็นด้วย ขณะเดียวกัน ก็พยายามบรรยายและปาฐกถาให้บรรดาข้าราชการไทยที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เห็นคุณค่า แต่กระแสสังคมในสมัยนั้น คล้อยตามพระเถรานุเถระผู้ใหญ่สูงมาก แนวคิดของท่านจึงถูกต่อต้านหลังจากพยายามอยู่หลายปี ในที่สุด ท่านสุชีโว ภิกขุจึงเข้าไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นส่วนตัว โดยมี พระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน วัดบวรนิเวศวิหาร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ช่วยอธิบายให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ฟังด้วย สุชีโว ภิกขุได้อธิบายว่า

          “..พระสงฆ์ที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ล้วนแต่หนักแน่นในพระพุทธศาสนาเพราะต่างได้เปรียญสูง ๆ กันมาแล้ว การเปิดมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาจะช่วยให้พระสงฆ์ได้มีความรู้ในการประยุกต์หลัก พุทธธรรม ให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่

          ศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหลายมีประโยชน์ในการเป็นบันไดหรือรางรถไฟให้พระพุทธศาสนา (ซึ่งท่านเปรียบเหมือนตัวรถไฟ) ได้วิ่งไปโดยสะดวก

ถึงพระสงฆ์ที่บวชเรียนและจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์จะสึกหาลาเพศไป ก็จะเป็นศาสนทายาท ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหน่วยงานของตน ๆ ได้..”

           หลังจากทรงทราบรายละเอียด อันรวมทั้งวัตถุประสงค์และวิธีดำเนินการแล้ว สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ก็ทรงออกหน้าให้ความอุปถัมภ์ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเห็นชอบขึ้นมา คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารก็เห็นชอบด้วย, ให้ความอุปถัมภ์จนถึงช่วยชี้แจงให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเข้าใจด้วย ในที่สุด มหามกุฏราชวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2488 โดยมีสุชีโว ภิกขุ เป็นเลขาธิการท่านแรก เมื่อเห็นมหามกุฏราชวิทยาลัยสามารถเปิดสอนได้ ฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกายก็รื้อฟื้น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขึ้นตามมาในปี พ.ศ. 2490 ประเทศไทยเราจึงมีมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สร้างศาสนทายาทถึง 2 แห่งซึ่งขณะนี้ ได้ขยายวิทยาเขตไปทั่วประเทศเพราะความมานะบากบั่นริเริ่มของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ โดยแท้ บทความได้สรุปว่าคุณูปการที่อ.สุชีพได้กระทำเหล่านี้ สมควรที่ชาวพุทธจะร่วมกันเชิดชูเกียรติท่านอาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ ไว้ในฐานะ บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย ในบันทึกประวัติศาสตร์เพื่อให้ชาวพุทธรุ่นหลังได้รับรู้ต่อไป

กิจกรรมเพื่อพระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมสำคัญๆ ทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ หลายเรื่องที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักอาทิ

  • เป็นผู้ริเริ่มหรือรื้อฟื้นให้มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น หลังจากที่เคยมีการศึกษาสงฆ์ระดับวิทยาลัยแต่ถูกยุบไปในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากมหามกุฏราชวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นมาแล้ว พระสงฆ์สามเณรไม่มีทุนเพื่อศึกษาเล่าเรียนและทำวิจัยทางพระพุทธศาสนา ท่านได้ดำริก่อตั้ง มูลนิธิปุญญานุภาพเพื่อหาทุนสนับสนุน โดยท่านบริจาคเงินค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียนของท่านทั้งหมดเพื่อก่อตั้งทุนในช่วงเริ่มต้น

  • เป็นผู้เริ่มวางรากฐานให้มีการก่อตั้ง ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย โดยมีศิษย์ท่านดำเนินการออกหน้า กล่าวคือคุณบุญยง ว่องวานิชและอาจารย์ เสถียร โพธินันทะ

  • เป็นพระภิกษุไทยคนแรกที่ปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในที่ประชุมที่มีฝรั่งต่างชาติ จนกลายเป็นแบบให้พระภิกษุยุคใหม่ได้ปรับใช้

  • เป็นบิดาแห่งวิชาศาสนาเปรียบเทียบในประเทศไทย เพราะเป็นคนไทยคนแรกที่นำเอาวิชาศาสนาเปรียบเทียบมาใช้สอนในมหาวิทยาลัย กล่าวคือเริ่มที่มหามกุฏราชวิทยาลัย

  • เป็นคนแรกที่บุกเบิกนำเอาวิชาพระพุทธศาสนาไปใช้สอนในลักษณะวิเคราะห์ระดับมหาวิทยาลัย

  • หลังจากที่ชาวพุทธตั้งหน่วยงานพระพุทธศาสนาชื่อ “World Fellowshipof Buddhists” ท่านเป็นคนแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก’

  • เป็นคนบัญญัติศัพท์คำว่าสมาคมบาลีปกรณ์จากคำภาษาอังกฤษว่า “Pali Text Society”

ผลงานการประพันธ์

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ผลิตงานวิชาการออกมามากมาย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ งานที่ทำให้อาจารย์สุชีพ โด่งดังมากที่สุดได้แก่ “พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน” ซึ่งริเริ่มเขียนตั้งแต่ยังเป็นสามเณรอายุ 18 ปี อีกเล่มหนึ่งที่กล่าวขวัญถึงมากได้แก่ คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพนับเป็นนักวิชาการที่มีพรสวรรค์ในการประพันธ์นวนิยายอิงธรรมะมาก ท่านเขียนขึ้นมาหลายเล่ม แต่ละเล่มเป็นที่สนใจของบรรดาพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง ชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนอ่านจำนวนมากไปขออ่านนวนิยายอิงธรรมะของท่านถึงแท่นพิมพ์ของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยก็มี จนกระทั่งว่าศิษย์ของท่านต้องเดินรอยตาม ไม่ว่าจะเป็น วศิน อินทสระ หรือ แสง จันทร์งาม บทประพันธ์ที่ท่านแต่งและยังกินใจอยู่จนทุกวันนี้ ได้แก่ ใต้ร่มกาสาวพัสตร์, ลุ่มน้ำนัมมทา, อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก, กองทัพธรรม, เชิงผาหิมพานต์ ฯลฯ นวนิยายเหล่านี้ โดยเฉพาะเล่มหลัง มีอิทธิพลต่อพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) เป็นอย่างมาก

////////////////////////////

 

ขอบคุณข้อมูล : วิกิพีเดีย

Leave a Reply