“ณัฏฐพล”ยืนยันกระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการสอนวิชา ศีลธรรม จริยธรรม โดยจะใช้การเพิ่มอาวุธให้ครู และปรับเปลี่ยนวิธีการสอนยุคดิจิตอล เพื่อจูงใจเด็กนักเรียนให้สนใจมากขึ้น “สพฐ.”เดินหน้ายก”สติ -สมาธิ”เป็นฐานปฏิรูปเรียนพุทธในโรงเรียน
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรกรณีปัญหาการจัดการเรียนการสอนและให้ความสำคัญกับวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม โดยระบุว่าในเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองนั้น เป็นเรื่องหนึ่งที่ตนได้รับการเรียกร้องให้บรรจุกลับมามากที่สุดในหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งแปลว่าทุกคนเห็นปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นคิดว่าการที่จะเดินไปข้างหน้านั้น จำเป็นจะต้องเดินแบบใหม่ ที่จะต้องนำเอาเรื่องดิจิตอลมาใช้ในการปรับการเรียนการสอน โดยการปรับการเรียนการสอนนั้นจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ ซึ่งวันนี้ตนไม่ได้คิดว่าโรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องของศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม และหน้าที่พลเมือง เพียงแต่ว่าวิธีการสอน การนำเสนอ อาจจะไม่สามารถจูงใจหรือเข้าไปถึงจิตใจของนักเรียนในโลกปัจจุบันได้ ดังนั้นต้องมีการปรับและหาทางผสมผสานให้เด็กนักเรียนในโลกยุคดิจิตอลรับรู้หรือรับทราบถึงแนวทางที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ นายณัฏฐพล บอกว่า เราควรจะนำการเรียนการสอนที่เหมาะสม โดยทำให้ครู หรือผู้บริหารโรงเรียนได้เห็นถึงแนวทางที่จะทำให้เด็กมีความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่ควรจะเพิ่มมากกว่าการเพิ่มชั่วโมงการเรียนการสอน ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร มีโครงการโตไปไม่โกง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองและเรื่องศีลธรรม จริยธรรม โดยจะเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีการใช้วิธีนำเสนอผ่านสื่อ ทำให้เด็กสนใจมากขึ้น เพราะผู้แสดงเป็นดาราที่พวกเขาชื่นชอบและนิยม รวมถึงข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อมูลที่อยู่ในช่วงวัยของเขา ดังนั้นขอยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการจะมีการปรับในเรื่องของสาระสำคัญเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรมและหน้าที่พลเมืองแน่นอน เพียงแต่จะขออนุญาติปรับเป็นวิธีการสอน การนำเสนอ เพื่อให้เด็กและเยาวชนในยุคนี้มีแรงจูงใจและความสนใจในเรื่องสำคัญๆดังกล่าว แต่คงไม่ใช่การเพิ่มในชั่วโมงการเรียนการสอนในขณะนี้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับครูที่จะมาสอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เพราะตนคิดว่าในกระบวนการศึกษาไทยเราต้องให้อาวุธครูเพิ่มเติมขึ้น ต้องทำอะไรหลายอย่างให้ครูมีพลังในการสอนมากขึ้น ต้องปรับในเรื่องของสื่อการเรียนการสอนให้ครูมีความทันสมัย เพื่อสามารถจูงใจนักเรียนได้
ส่วนความต้องการที่จะได้คนดี คนเก่งนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยืนยันว่า ตนอยากจะใช้คำว่า “เก่งเป็นครู” แทนที่ “ผิดเป็นครู” เพราะต้องการให้ครูเก่ง เนื่องจากเมื่อครูเก่งก็จะสามารถสอนในเรื่องต่างๆ ได้ดี และคิดว่าปัจจุบันนี้การเรียนการสอนก็เปลี่ยนไปมาก ถ้าหากคนเก่งมาเป็นครูก็จะสอนเด็กให้เก่งขึ้นได้ ฉะนั้นในการทุ่มเทของกระทรวงฯหวังว่าชั่วโมงที่จะเพิ่มขึ้น จะสามารถเพิ่มไปในการพัฒนาครูให้มีความสามารถและอาวุธมากขึ้น เพื่อจะได้นำกลับมาสู่เด็กและเยาวชนของเราได้
“สพฐ.”เดินหน้ายก”สติ -สมาธิ”เป็นฐานปฏิรูปเรียนพุทธในโรงเรียน
ระหว่างวันที่ 17 -19 กุมภาพันธ์ 2563 ณ โรงแรมรอแยล รัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร ได้มีการประชุมคณะกรรมการจัดทำโครงสร้างรายวิชาพระพุทธศาสนาและกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีสติและสมาธิเป็นฐาน ซึ่งมี พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผอ.หลักสูตรสันติศึกษา และผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณาาชวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา และรองประธานคณะกรรมการปฏิรูปการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการและบรรยายพิเศษ ที่มาของกรอบคิดการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ที่มีสติและสมาธิเป็นฐาน เส้นทางการเรียนรู้ (Mindstone) แห่งการเรียนรู้ที่มีสติและสมาธิเป็นฐานและ (Timeline) การทำงาน การปฏิรูปการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาโดยมีสตสมาธิเป็นฐานนั้น ได้เริ่มดำเนินการแล้วในระดับป.1 ป.4 ม.1และม.4 การประชุมครั้งนี้ เพื่อออกแบบหลักสูตรในชั้นป.2 ป.3 ป.5 ป.6 และ ม.3 ซึ่งจะเริ่มในปีการศึกษาต่อไป
พระมหาหรรษาธมฺมหาโส กล่าวว่า “ การออกแบบหลักสูตต้องคำนึงในยุคดิจิทัลลักษณะ “เร็ว แรง ไว”เพราะเด็กเป็นยุคดิจิทัล คนจัดหลักสูตรต้องเข้าใจความเป็นดิจิทัล การออกแบบหลักสูตรจะต้องสอดรับกับเด็กในยุคปัจจุบันที่สุด สติและสมาธิจึงต้องเป็นฐานของทุกวิชาที่เด็กเรียน ต้องมีการบูรณาการ จะต้องเปลี่ยนชีวิตเด็กทั้งชีวิต สติสมาธิเปลี่ยนโครงสร้างของสมอง ทำไมจะต้องมีสติ เพราะสติสามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิต ผู้ออกแบบหลักสูตรจะต้องปฏิบัติด้านสติและสมาธิ จึงจะมีความลึกซึ้ง สติเป็นตัวสร้างกำแพงป้องกันกิเลส รักษาจิต สติสมาธิทำให้จิตมีความสงบ เด็กมีความนุ่มนวล จึงมีวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้เกิด 5 ประการคือ สติ เมตตา สุจริต เคารพ สัจจะ ให้เกิดความเหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงชั้น จะต้องมีการวางวิสัยทัศน์แต่ละหน่วยการเรียนรู้..”
สำหรับคณะกรรมการปฏิรูปการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งมาตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 เพื่อดำเนินการปฏิรูปการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีความเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน โดยมีเจตนารมณ์ที่จะปลูกฝังให้นักเรียนเป็นคนดี มีความรู้ คู่คุณธรรม อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนอย่างยั่งยืน สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมคุณธรรม จริยธรรม โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการจำนวน 13 คน คือ
–ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย เป็นประธานกรรมการ
–พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสน์นานาชาติ มจร. และ นางสุกัญญา งามบรรจง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นรองประธานกรรมการ
–กรรมการ 10 ราย คือ ศ.(พิเศษ)ดร.บรรจบ บรรณรุจิ, น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธุ์, นายศิริธัช โรจนพฤกษ์, นายพีระ รัตนวิจิตร, นายศรีชัย พรประชาธรรม, นายจงภพ ชูประทีป, นายอโณทัย ไทยวรรณศรี โดย นายพิเชฏษ์ จับจิตต์ เป็นเลขานุการ รวมทั้ง น.ส.รัตนา แสงบัวเผื่อน และ น.ส.ประภาพรรณ แม้นสมุทร เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยแนวทางการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เหมาะสมกับสังคมไทยในยุคปัจจุบัน
2) กำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์การดำเนินการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นกรอบในการปฏิบัติให้กับสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งของภาครัฐและเอกชน
3) ดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการดำเนินงาน
4) ส่งเสริม สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยการทำงานเชิงบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย
5) กำหนดแนวทางการกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
6) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานตามความจำเป็นและเหมาะสม
7) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบหมาย
Leave a Reply