มท.1 ขึ้นเหนือปูพรม 15 จังหวัดภาคเหนือ ต้องบูรณาการทุกภาคส่วนเดินหน้า “แก้ปัญหาความยากจน” ส่วน “ปลัดเก่ง” ขอจังหวัดดึงคณะสงฆ์เข้ามามีส่วนร่วมตาม MOU ที่ลงนามร่วมกันไว้

 

วันที่ 28 ก.พ. 65) เวลา 09:00 น. ที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายและบรรยายพิเศษแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประชา เตรัตน์ นายวัลลภ พริ้งพงษ์ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบภาคเหนือ ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด 15 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมด้วยประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด พัฒนาการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด และนายอำเภอ ร่วมรับฟัง และถ่ายทอดสดการประชุมผ่านระบบ DOPA Channel ไปยังทุกจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศ โดยมี ปลัดอำเภอ พัฒนาการอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมรับฟัง

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการปฏิบัติมีรายละเอียด มีจุดเน้นที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อมาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ (ศจพ.) มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแก้ปัญหาความยากจน แบบมุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน หรือ “การตัดเสื้อให้พอดีตัว” โดยมีกลไกการดำเนินงานตั้งแต่ระดับนโยบาย โดยคณะกรรมการฯ ระดับชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (อขจพ.) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ไปจนถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด ผ่านศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) ระดับอำเภอ ผ่านศูนย์อำนวยการปฏิบัติการฯ อำเภอ (ศจพ.อ.) และระดับปฏิบัติการ ผ่านทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่ และได้มีการตั้ง “ทีมพี่เลี้ยง” เข้าไปจัดทำแผนครัวเรือนร่วมกับทุกครัวเรือนยากจนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อไปรับทราบปัญหา ช่วยหาทางแก้ไข และให้การสนับสนุนให้ครัวเรือนมีการวางแผน/แก้ปัญหาตรงตามสภาพปัญหาที่แต่ละครอบครัวกำลังเผชิญ เมื่อทราบปัญหาของแต่ละครอบครัวแล้ว ทีมพี่เลี้ยงจะได้นำข้อมูลมารายงาน ศจพ. อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เสร็จในระดับอำเภอ ทั้ง 5 มิติ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “5 เมนูแก้จน” ได้แก่ 1) สุขภาพ เช่น การดูแลสุขภาพ การติดตามผู้ป่วยเรื้อรัง 2) ความเป็นอยู่ เช่น ปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย 3) การศึกษา เช่น การฝึกอาชีพ 4) ด้านรายได้ เช่น การจัดหาที่ดินทำกิน เกษตรแปลงใหญ่ และ 5) การเข้าถึงบริการภาครัฐ เช่น สนับสนุนเบี้ยผู้พิการ ผู้สูงอายุ ให้ผู้ที่ตกหล่นจากระบบ โดยทีมพี่เลี้ยงจะลงไปพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของครัวเรือนยากจนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ในลักษณะ Intensive care

“สิ่งสำคัญที่มาเน้นย้ำในวันนี้ คือ ระดับพื้นที่ เรามี ศจพ.จังหวัด อำเภอ ตำบล และทีมพี่เลี้ยงในระดับพื้นที่ ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งหมดอยู่ที่กลไกในพื้นที่ทั้งหมด โดยเฉพาะ “ทีมพี่เลี้ยง” ที่ต้องดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางการแก้ไข ตามหลัก 4 ท คือ ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร และทางออก โดยให้ครัวเรือนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ การคิด ตามสภาวะแวดล้อมที่สามารถทำได้ และไม่เป็นการบังคับให้เขาทำ โดยพัฒนากรเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจให้ทีมพี่เลี้ยงไปสำรวจให้รู้ปัญหา รู้แนวทางการทำงาน และวิเคราะห์ปัญหาทั้งหมดให้ออกมา ด้วยการนำข้อมูลบุคคล/ครัวเรือนเป้าหมายจากระบบ TPMAP ไปกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกับครัวเรือน พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ดูแลอย่างใกล้ชิด ในลักษณะ Intensive Care และบันทึกในระบบ Logbook ทุกครั้งที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ซึ่ง ศจพ.อำเภอ ต้องมีความเข้าใจ “เมนูแก้จน” ทั้ง 5 เมนู รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า โดยนายอำเภอเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบูรณาการ ทั้งนี้ หากพบสภาพปัญหานอกเหนือจากเมนู ให้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากไม่สามารถแก้ไขในระดับอำเภอได้ให้รายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการ และหากเป็นสภาพปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับนโยบาย ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พิจารณาสั่งการต่อไป” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนตามกลไก ศจพ. ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ กระทรวงที่เกี่ยวข้องในกลไก ศจพ. ทั้งหมด จะมอบนโยบายลงไปสู่ผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของแต่ละกระทรวงที่ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ เพื่อหนุนเสริมการขับเคลื่อนงานของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดที่ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมบูรณาการระดับจังหวัดในพื้นที่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบ TPMAP ปี 2565 จำนวน 1,025,782 คน เป็นเครื่องมือในการชี้เป้า เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า คือ ใช้เป้าที่ได้ดำเนินการสำรวจแล้วเป็นเป้าหมายขับเคลื่อนแก้ปัญหาไปพร้อมกันทุกองคาพยพในพื้นที่ ซึ่งจะทำสำเร็จได้ต้องจบที่อำเภอ ถ้าแก้ที่อำเภอไม่สำเร็จ ก็ไปจบที่จังหวัด แต่มุ่งหวังให้จบที่อำเภอให้ได้ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 65 โดยมีระยะเวลา (Timeline) การขับเคลื่อน แบ่งเป็น 1 สร้างการรับรู้ (25 ก.พ. – 15 มี.ค. 65) ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานระดับต่างๆทั่วประเทศ 2 วิเคราะห์สภาพปัญหา และกำหนดแนวทางแก้ไข (มี.ค. 65) โดยนำข้อมูลจากระบบ TPMAP ลงพื้นที่เป็นรายครัวเรือน วิเคราะห์สภาพปัญหาและร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไข 3 จำแนกประเภทครัวเรือน โครงการ/กิจกรรม (1-15 เม.ย.65) โดยจำแนกครัวเรือน 3 ประเภท ได้แก่ พัฒนาได้ สงเคราะห์ และไม่ขอรับความช่วยเหลือ 4 บูรณาการแนวทางการให้ความช่วยเหลือ (15-30 เม.ย.65) โดยจัดประชุม ศจพ.อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานในระดับพื้นที่และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ 5 ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ (1 พ.ค.-30 ก.ย.65) หน่วยงานต่างๆให้ความช่วยเหลือตามโครงการกิจกรรมที่ผ่านการประชุม (โดยแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จสิ้นในระดับอำเภอภายใน 30 ก.ย.65)  6 บันทึกข้อมูลในระบบ logbook (มี.ค.-ก.ย.65) โดยทีมพี่เลี้ยงร่วมติดตามการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด (Intensive Care) และ 7 ติดตามการดำเนินงาน รายงานผล และประชาสัมพันธ์ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กรมการพัฒนาชุมชน กรมการปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

“การสร้างการรับรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ใช้ช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ ทุกขั้นตอนทั้ง Online Onsite Onground  ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ต้องทำซ้ำ ทำบ่อย ทำหลาย ๆ ช่องทาง ทำทุกระดับ รวมถึงทั้งมูลนิธิ สมาคม ต่าง ๆ  บูรณาการกันใช้พลังในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ถ้าทุกคน ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันจะมีพลัง เพื่อปลายทาง คือ “พี่น้องประชาชนมีความสุข”” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย

สุดท้าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เน้นย้ำนโยบายการขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ 1) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนนท้องถนน โดยเฉพาะบริเวณทางข้าม “การข้ามถนนแล้วเกิดอุบัติเหตุจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก” โดยบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดสูงสุด และทำให้คนขับรถมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน รู้ทั้งกติกา มารยาท และมีจิตสำนึกที่จะคิดถึงความปลอดภัยของคนอื่น ต้องมีจิตวิญญาณใช้ถนนที่ดี เมื่อถึงทางคับขันต้องชะลอรถ 2) ลด Demand Side และ Supply ของยาเสพติดควบคู่กัน 3) บริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข  4) ดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในทุกรูปแบบ 5) เตรียมการรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกร 6) ประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่ ดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร โดยเน้นบริเวณที่มีสภาพปัญหามากที่สุดเป็นลำดับแรก และ 7) การขับเคลื่อนงานทุกระดับ ทุกกลไกในพื้นที่ ต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และกำชับผู้ปฏิบัติงานให้ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้

ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาความยากจนต้องอาศัยกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด องค์กรเอกชน สมาคม มูลนิธิต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ และให้ดำเนินการ 1) นำแอปพลิเคชั่น ThaiQM ซึ่งกรมการปกครอง ได้พัฒนาระบบนำเอาชุดข้อมูลที่ต้องทำการสำรวจอีกครั้งเข้าระบบ โดยนายอำเภอเป็นหัวหน้าชุดบูรณาการทีมงานสำรวจ และดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ก.ย. 65 ตามแผนที่กำหนด ยกเว้นในด้านที่อยู่อาศัย ให้แล้วเสร็จภายใน 12 ส.ค. 65 เพื่อพี่น้องคนไทยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ ถวายเป็นพระราชกุศลแก่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา 2) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด กำกับ ติดตาม และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 7,853 แห่งทั่วประเทศ ขับเคลื่อน “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อน” ให้มีความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนกันช่วยเหลือพี่น้องประชาชนควบคู่กับโครงสร้างของภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เหล่ากาชาด องค์กรการกุศล  3) น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร”  และขับเคลื่อนงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.)” เพื่อให้ อปท. อบรม อถล. ทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และสอนให้รู้จักการเก็บขยะรีไซเคิลนำไปสู่จัดตั้งธนาคารขยะ และ 4) บูรณาการร่วมกับฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์จังหวัดต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ลงนาม MOU ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม โดยวัดทุกวัดจะมาร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของชาวบ้าน และรณรงค์ส่งเสริมให้คนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่มาใช้ในชีวิตประจำวัน

ขอให้ช่วยกัน Change for Good ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย และร่วมกันเฉลิมฉลองวาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย ด้วยการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน เรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุด คือ กระดุมเม็ดแรก ต้องหาเป้าให้ครบ แล้วลุยแก้ปัญหาอย่างพุ่งเป้า ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันนักปกครอง กระทรวงมหาดไทย และที่สำคัญที่สุด สร้างชื่อเสียงให้ระบบราชการว่า มีความจำเป็นต่อสังคมไทย โดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในตอนท้าย

 

 

Leave a Reply