ไม่ทราบว่าคณะสงฆ์และประชาชนทั่วไปจำเหตุการณ์ ๆ หนึ่งได้หรือไม่ หากจะว่าไปแล้วมันคือ “บันทึกข้อตกลงร่วม” ครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่าง มหาเถรสมาคม และ กระทรวงมหาดไทย ได้ลงนาม “MOU” ที่จะร่วมมือกัน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชน ภายใต้เจตนารมณ์ร่วมกันว่า พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ในอดีตที่ผ่านมาวัดเป็นศูนย์กลางแห่งการสาธารณสงเคราะห์มาตลอด และทั้งมีพระสงฆ์เป็นผู้นำด้านสาธารณสงเคราะห์อย่างน้อย 4 ประการคือ เป็น ครู คลัง ช่าง หมอ ด้วยการอบรมสั่งสอน เป็น คลังอาหาร สรรพวิทยาการ โดยพระสงฆ์ที่มีความสามารถทางด้านงานช่าง และวัดเป็นศูนย์กลางของความรู้ทางด้านยาสมุนไพร แพทย์ทางเลือก อีกทั้งเมื่อปีพุทธศักราช 2560 มหาเถรสมาคม และรัฐบาล มีเป้าหมายสำคัญประการหนึ่งในการ “ปฎิรูปกิจการพระพุทธศาสนา” คือ ต้องการให้วัดกลับมาเป็นศูนย์กลางชุมชนหมู่บ้าน ให้พระสงฆ์กลับเข้ามามีบทบาทในการเป็น “แกนนำ” เป็นที่พึ่งของ ชุมชนหมู่บ้านเหมือนเดิม
ซึ่งสอดคล้องกับยุคปัจจุบันที่ประชาชนคนไทยจำนวนมากกำลังประสบกับความทุกข์ยาก มหาเถรสมาคมและกระทรวงมหาดไทยจึงได้ร่วมกันรื้อฟื้นสิ่งที่เป็น “เสาหลักของประเทศชาติ” ให้กลับมาเข้มแข็ง ด้วยการส่งเสริมและฟื้นฟูภูมิปัญญาในการเลี้ยงอาชีพตามหลัก “สัมมาชีพ” ซึ่งตรงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประยุกต์สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนากสิกรรมธรรมชาติสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น อันเป็นการสนองพระบรมราชปณิธานในการสืบสาน รักษา ต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนเช่นเดียวกัน
Leave a Reply